Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 มีนาคม 2550
ส่งออกไทยถูกจีนตีตลาดปรับทิศธุรกิจหันลงทุนอสังหาฯโซนสุขุมวิท             
 


   
search resources

Real Estate




นักธุรกิจส่งออกเจอมรสุมสินค้าจีนทุ่มตลาด แถมเงินบาทแข็งค่าจนทุนหายกำไรหด หันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ - คอนโดฯ ภายใต้แบรนด์ ดิ แอลโคฟ ส่งไม้ต่อเน็กซัสช่วยขาย พร้อมระบุทำเลสุขุมวิท ซ.1-63 มีค้าคอนโดฯเหลืออยู่ในตลาดไม่ถึง 1,000 ยูนิต เหตุผู้ประกอบการหวั่นสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง เศรษฐกิจซบไม่กล้าลงทุนเพิ่ม

นายอนันต์ สิงห์จิรกุล ผู้อำนวยการ บริษัท ซามิราโน่ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า เดิมตนทำธุรกิจส่งออกผ้า ในนามบริษัท เท็คทารา จำกัด มากกว่า 10 ปี มีรายได้จากการส่งออกปีละ 400-500 ล้านบาท แต่ในระยะหลังถูกสินค้าจีนทุ่มตลาด โดยขายราคาต่ำกว่า 30-40% นอกจากนี้ยังประสบปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ขาดทุน ทำให้เลิกกิจการส่งออกไป

ในระหว่างนั้นได้ลงทุนซื้อคอนโดฯ บางยูนิตในโครงที่มีทำเลที่ตั้งที่ดี เพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ จนกระทั้งในปี 2548 ได้หันมาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง โดยพัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ภายใต้ชื่อ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 23 จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า110 ล้านบาท ราคาเช่า 45,000 บาท/ห้อง/เดือน ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 50% เน้นกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่น จีน ซึ่งโครงการนี้จะสร้างรายได้ให้บริษัทเดือนละ 6 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ดิ แอลโคฟ สุขุมวิท 49 จำนวน 48 ยูนิต มูลค่าโครงการ 230 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40 ยูนิต และล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ ดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 10 จำนวน 141 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 2.5-6 ล้านบาท หรือประมาณ 75,000 บาทต่อตร.ม. มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท

ส่วนแหล่งเงินลงทุนนั้น ใช้เงินทุนของบริษัท 60% ส่วนที่เหลือเป็นสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งทั้ง 2 โครงการบริษัทได้มอบหมายใน บริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด เป็นผู้บริหารงานขายให้ โดยคาดว่าภายใน 6 เดือนจะมียอดขายในโครงการดิ แอลโคฟ ทองหล่อ 10 ไม่ต่ำกว่า 60% และจะสามารถปิดการขายได้ภายในปีนี้

ด้านนายอภิสิทธิ์ ลิ้มล้อมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้ประกอบการหลายรายหันเข้าสู่ตลาดนี้ จนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาสินค้าออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะบนถนนสุขุมวิท ซ.1-63 ที่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเข้าสู่ตลาดมากถึง 50 โครงการประมาณ 7,000 ยูนิต ปัจจุบันปิดการขายไปแล้ว 25 โครงการ มียอดขายแล้ว 87% สินค้าที่ขายดีจะเป็นขนาด 1 ห้องนอนไม่เกิน 40 ตร.ม.

ปัจจุบันในทำเลดังกล่าวมีสินค้าเหลือขายไม่ถึง 1,000 ยูนิต เนื่องจากมีสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยมาก เพราะผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุนเนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ความไม่สงบทางการเมือง จากที่ก่อนหน้านี้มีสินค้าออกสู่ตลาดมากจนทำให้เกรงว่าจะเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพรายของตลาดคอนโดฯในบางทำเล ดังนั้นผู้ประกอบการที่มีเงินลงทุนพัฒนาในช่วงนี้จะได้เปรียบ เพราะมีคู่แข่งน้อย

"สินค้าคอนโดฯ ถือว่าได้เปรียบกว่าบ้านเดี่ยว ตรงที่สามารถซื้อและขายเปลี่ยนมือหรือปล่อยเช่าได้ง่ายกว่าบ้านเดี่ยว ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนรายย่อย ลงทุนซื้อยูนิตในคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าไม่มีความเสียงเพราะมีกำลังเงินในการโอนห้องชุดได้ นอกจากนี้ราคาที่เจ้าของโครงการเสนอขายในช่วงเปิดพรีเซลล์จะต่ำกว่าช่วงที่ก่อสร้างแล้วเสร็จไม่ต่ำกว่า 15% ทำให้นักลงทุนมีกำไรอยู่แล้ว อีกทั้งยังบวกเพิ่มในส่วนที่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นนักลงทุนจะขายต่อห้องชุดสูงกว่าราคาซื้อเดิมประมาณ 20%ปัจจุบันต้องยอมรับว่าในคอนโดฯ 1โครงการจะมีทั้งนักลงทุนและเกร็งกำไรอยู่ประมาณ 30% โดยเฉพาะในยูนิตที่มีการผ่อนชำระประมาณ 10,000 บาท/เดือน" นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า

สำหรับภาวะการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องยอมรับว่าในปัจจุบันบ้านระดับบนมียอดขายที่ชะลอตัว เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มนี้ไม่ได้มีความเดือนร้อนในเรื่องที่อยู่อาศัย เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวก็จะชะลอการซื้อไปด้วย แต่ในขณะที่ตลาดระดับกลาง-ล่าง มีความจำเป็นในเรื่องที่อยู่อาศัยมากกว่าทำให้ต้องพยายามซื้อบ้านให้ได้แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จะเป็นส่วนช่วยหนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมาก   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us