|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ทาทาสตีลฯ ตั้งเป้าผลิตเหล็กเส้นแตะ 1.3 ล้านตัน ขยายตัว 20% สวนทางยอดใช้เหล็กในประเทศทรงตัวหรือลดลงจากปีก่อน ฟุ้งอาศัยเน็ตเวิร์คบริษัทแม่ส่งออกปีนี้ 1.5 แสนตัน และหันมาชิงลูกค้าคู่แข่ง หลังแบงก์คุมเข้มปล่อยเงินกู้ซื้อวัตถุดิบแก่โรงเหล็กมากขึ้น มั่นใจปีนี้ยอดขายเติบโตจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 20%
นายสันติ ชาญกลราวี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย )จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าผลิตเหล็กเส้นที่ 1.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีการผลิตอยู่ 1.06 ล้านตัน/ปี แม้ว่าสถานการณ์ความต้องการใช้เหล็กเส้นในประเทศปีนี้น่าจะทรงตัวหรือลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประการทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดอกเบี้ยลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยที่ไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางใด
โดยบริษัทฯจะส่งออกเหล็กเส้นประมาณ 1.5 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 10% ซึ่งจะอาศัยเน็ตเวิร์คจากบริษัทแม่ คือ ทาทาสตีล เชื่อว่าการส่งออกไม่น่าจะมีปัญหา เพราะปัจจุบันสหรัฐและประเทศในแถบตะวันออกกลางมีความต้องการใช้เหล็กจำนวนมาก
ส่วนตลาดในประเทศก็จะแย่งตลาดจากคู่แข่ง โดยอาศัยความได้เปรียบจากความแข็งแกร่งทางการเงิน ความพร้อมของสินค้า และอานิสงส์จากสถาบันการเงินค่อนข้างเข้มงวดการให้เงินสดหมุนเวียน(เวิร์คกิ้ง แคป)แก่โรงงานผลิตเหล็กเส้น ที่ต้องอาศัยวงเงินในการนำเข้าบิลเล็ตที่มีราคาสูง ทำให้บางโรงงานผลิตได้เหล็กเส้นได้ลดลง เชื่อว่าบริษัทจะมีส่วนแบ่งการตลาดเหล็กเส้นก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากเดิม23 % เป็น 24-25%
"ปีที่แล้ว ยอดการใช้เหล็กทรงยาวในประเทศลดลง 10% และเหล็กทรงแบนลดลง 12% เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ทำให้ภาคการใช้ลดลง และปีนี้เชื่อยอดการใช้เหล็กในประเทศจะทรงตัวหรือลดลงจากปีที่แล้ว โดย 2 เดือนแรกปีนี้จะเห็นยอดใช้ปูนซีเมนต์ลดลงอย่างมาก ดังนั้นความต้องการใช้เหล็กไม่ดีกว่าปีที่แล้ว แต่เศรษฐกิจทั่วโลกพบว่าความต้องการใช้เหล็กยังเติบโตต่อเนื่อง และราคาเหล็กเส้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแน่นอน เป็นผลจากราคาแร่เหล็กที่ปรับขึ้นมาแล้ว ส่งผลให้เหล็กแท่ง (บิลเล็ต)ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยราคาบิลเล็ตอยู่ระดับสูงเช่นนี้มานานถึง 3 เดือนแล้ว "
ในปี2550 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 20%จากปี 2549ที่มีรายได้รวม 1.88 หมื่นล้านบาท นอกเหนือจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทฯจะผลิตเหล็กคุณภาพสูงที่มีมาร์จินดีกว่าเหล็กเส้นก่อสร้าง อาทิ เหล็กไฮคาร์บอนไวร์รอด เป็นต้น และราคาเหล็กเส้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.95 หมื่นบาท/ตันจากปีที่แล้วราคาเหล็กเส้นอยู่ที่ 1.78 หมื่นบาท เป็นผลจากราคาบิลเล็ตที่ปรับตัวขึ้น
นายสันติ กล่าวถึงผลกระทบจากค่าบาทที่แข็งขึ้นว่า จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น ทำให้บริษัทฯต้องระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน โดยจะป้องกันความเสี่ยงโดยBooking Forward ทันทีที่ตัดสินใจส่งออก เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงถลุงเหล็กขนาด 5 แสนตัน มูลค่า 3.4 -3.6 พันล้านบาทว่า บริษัทได้ยื่นรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมไปแล้วเมื่อปลายปี 2549 คาดว่าจะได้รับอนุมัติภายในเดือนนี้ โดยขั้นตอนการผลิตจะไม่มีการลงทุนCoke Oven เพื่อลดมลภาระด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้บริษัทได้ตัดสินใจเลือกซัปพลายเออร์เครื่องจักรจากจีน และมั่นใจว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในปลายปี 2551
โครงการดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการผลิตบิลเล็ตลดลง 1 พันบาทต่อตัน ช่วยควบคุมราคาการผลิตไม่ให้หวือหวา จากปัจจุบันที่เศษเหล็กผันผวนมากกว่าแร่เหล็กรวมทั้งยังเพิ่มกำลังการผลิตบิลเล็ตของบริษัทจากเดิม 1.2 ล้านตันเป็น 1.7 ล้านตันสอดคล้องกับกำลังการรีดเหล็กของบริษัทที่มีปีละ 1.7 ล้านตัน
สำหรับแหล่งเงินทุนนั้นจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงินทั้งจำนวน โดยไม่มีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยบริษัทแม่จะแนะนำว่าจะหาแหล่งเงินทุนจากไหน
|
|
|
|
|