Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 มีนาคม 2550
ชิ้นส่วนรถโวยพิษบาทต้นทุนพุ่งแซงยุ่น             
 


   
search resources

Auto-parts




พิษค่าเงินบาทแข็ง ราคาวัตถุดิบพุ่ง ทำภาระต้นทุนชิ้นส่วนยานยนต์ไทย พุ่งแซงหน้าญี่ปุ่นเป็น 1.05-1.1 : 1 จากเดิมอยู่ในอัตราต่ำกว่า ทำให้สูญเสียศักยภาพการแข่งขันทันที สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ จี้ภาครัฐหาวิธีดูแลค่าเงินให้เหมาะสม หลังมาตรการกันสำรอง 30% ไม่ได้ผล ยังทำให้ภาคการลงทุนเสียหายอีก ขณะที่สภาวะตลาดรถปีนี้ ยักษ์ "โตโยต้า" หวังรถใหม่ งานมอเตอร์โชว์ และหลังมีเลือกตั้งช่วงปลายปี จะช่วยดันยอดขายให้ดีขึ้น

นายยงเกียรติ์ กิตะพาณิชย์ นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน"ว่า ในปีที่ผ่านมาแม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะไม่ค่อยดีนัก แต่ในส่วนของการส่งออกยังคงไปได้ด้วยดี โดยชิ้นส่วนยานยนต์มีการส่งออกคิดเป็นมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้ามีอัตราการเติบโต 14% และมีมูลค่าเท่ากับการส่งออกรถยนต์ ทำให้การส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบจากไทย คิดเป็นมูลค่ารวม 5 แสนล้าน มีอัตราการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

"ขณะที่สถานการณ์อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยปีนี้ แนวโน้มค่อนข้างน่าเป็นห่วง จากปัจจัยลบต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะปัญหาค่าเงินบาทแข็ง และต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันเฉลี่ยค่าเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตหน้าโรงงาน ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นจากเดิมอยู่ที่ 0.8 : 1 แต่ปัจจุบันไทยมีต้นทุนสูงกว่าเป็น 1.05-1.1 : 1 ทำให้ศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลำบากมากขึ้น"

จากปัญหาดังกล่าวหวังว่ารัฐบาลจะเข้าดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสมกว่านี้ ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงได้ แต่กลับทำให้เกิดปัญหาต่อการลงทุนมากกว่า ดังนั้นหากจะยกเลิกมาตรการนี้ น่าจะเรียกความเชื่อมั่นและการลงทุนกลับมาได้

นายยงเกียรติกล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น เพราะหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อการสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว เพื่อช่วยเหลือตัวเองให้สามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ โดยเฉพาะกระบวนการลดต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ มาใช้ ในส่วนของสมาคมชิ้นส่วนฯ มีนโยบายพัฒนาผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมทำ 4 โครงการ เพื่อพัฒนาและเสริมศักยภาพผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย ได้แก่ โครงการบำรุงรักษาเครื่องจักรเก่าของผู้ประกอบการ โครงการพัฒนามาตรฐาน TS1649 โครงการพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือเอสเอ็มอี และสุดท้ายโครงการจัดระบบการขนส่ง หรือโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ

สำหรับเป้าหมายการส่งออกชิ้นส่วนไทยปีนี้ แม้จะมีปัญหารุมเร้ามากมาย แต่คาดหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายโดยเร็ว และผู้ประกอบการเองจำเป็นต้องเร่งหาตลาดและลูกค้าเต็มที่ ซึ่งหวังว่าปีนี้จะยังคงรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้ แม้จะไม่สามารถเติบโตรวดเร็วเท่ากับการส่งออกรถยนต์ ซึ่งมีความพร้อมจากการสนับสนุนตลาดส่งออกของบริษัทแม่ในต่างประเทศ แต่เพื่อให้มูลค่าส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์จากไทยบรรลุ 4 แสนล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกับภาครัฐในปี 2553 ผู้ผลิตชิ้นส่วนจึงต้องปรับตัวและช่วยกันอย่างเต็มที่

นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า สภาวะตลาดรถยนต์ไทยปีนี้โตโยต้าได้ประเมินไว้ว่า ตลอดทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 แสนคัน ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2-3% เนื่องจากปัจจัยลบเกี่ยวกับราคาน้ำมันเริ่มลดลง และอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงเช่นกัน

"แต่ปรากฏว่ายอดขายรถยนต์สองเดือนแรกปีนี้กลับลดลง ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำลูกค้าได้เทการซื้อไปเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว และอีกปัจจัยมาจากลูกค้าอยู่กำลังรอดูสถานการณ์ความสงบทางการเมือง ทำให้ตลาดรถยนต์สองเดือนแรกปีนี้ลดลง เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว"

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยแรกคงจะหมดไป เพราะจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดต่อเนื่อง อย่างโตโยต้าได้เปิดตัวรถยนต์นั่งขนาดเล็กรุ่นวีออสใหม่สู่ตลาด และปลายเดือนนี้ก็จะมีงานมอเตอร์โชว์ คาดว่าจะทำให้ตลาดรถยนต์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนปัจจัยทางการเมืองผู้ประกอบการและลูกค้าคงไม่สามารถควบคุมได้ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะรักษาเสถียรภาพ และจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นช่วงปลายปี ดังนั้นคาดว่าตลาดน่าจะกลับมาเติบโตได้ในช่วงปลายปี และสามารถบรรลุ 7 แสนคัน ได้ตามที่ประเมินไว้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us