Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์12 มีนาคม 2550
ย้อนรอย ITV ทีวีเสรี             
 


   
search resources

ไอทีวี, บมจ.
TV




สัปดาห์นี้ไม่มีข่าวใดที่จะได้รับความสนใจจากประชาชน และวงการสื่อมวลชนมากเท่ากับข่าวครม.มีมติเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ให้ไอทีวีหยุดออกอากาศชั่วคราว เพื่อพิจารณาข้อสัญญาและพิจารณาทางกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยจะให้ทางสำนักงานกฤษฎีกาตีความข้อกฎหมายให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์เข้าไปดำเนินการสถานีโทรทัศน์แทนนั้นจะขัดพ.ร.บ.คลื่นความถี่หรือไม่

อนาคตของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะเป็นอย่างไรยังไม่สามารถ “ฟันธง” ได้ในวันเวลานี้ เนื่องจากต้องรอทางสำนักงานตีความข้อกฎหมายอีกครั้ง และในวันเดียวกัน (6มี.ค.) ทางพนักงานไอทีวีก็เดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการดำเนินการระงับการออกอากาศ คลื่นความถี่โทรทัศน์ และขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้สถานีโทรทัศน์ไอทีวีออกอากาศได้ตามปกติไปก่อน จนกว่าจะได้ข้อสรุปทางกฎหมายที่ชัดเจน

เมื่ออนาคตยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสถานีแห่งนี้จะกลายสภาพเป็นอย่างไร เราลองย้อนมาดูอดีตของสถานีแห่งนี้ก่อนว่าทำไมทีวีเสรีที่ใครๆเรียกร้องให้เกิดขึ้นจึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เรื่องราวคงต้องย้อนไปถึงสมัยรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ปี 2535 ภายหลังการเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นำมาซึ่งการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่แล้ว ในด้านกิจการสื่อสารมวลชน บทเรียนจากการถูกปิดกั้นข้อมูลข่าวสารของสื่อส่วนใหญ่ที่อยู่ในการครอบครองของรัฐ ประชาชนเรียกร้องให้มีการตั้งสื่อเสรีที่ปราศจากการครอบงำของอำนาจรัฐ นำมาซึ่งการเกิดโครงการ ทีวีเสรี

ทีวีเสรี มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เป็นสื่อที่มีการเสนอข้อมูลข่าวสารทุกด้านอย่างครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ เป็นกลางและเป็นธรรม อันจะเป็นทางเลือกในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและรายการที่มีคุณค่าให้แก่ประชาชน โดยคำนึงถึงสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และมีการกระจายข่าวสารอย่างทั่วถึง เพื่อประโยชน์ของรัฐ สังคม และประชาชน

หากจะสาวความย้อนไปถึงความพิกลพิการของทีวีเสรีไทย คงต้องกลับไปดูจุดเริ่มกำเนิดไอทีวี เมื่อปี 2538 ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย เงื่อนไขการประมูลที่รัฐมุ่งแต่จะรับผลตอบแทนสูงสุดเป็นสำคัญ เป็นจุดเริ่มต้นให้ไอทีวีบิดเบี้ยวมาจนทุกวันนี้ เมื่อผู้ร่วมประมูลที่ถูกรวบรวมจากทุกสารทิศเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ที่ให้แต่ละกลุ่มต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 10 บริษัท และห้ามถือหุ้นเกินรายละ 10% เปิดโอกาสให้หลากหลายบริษัทที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับวิชาชีพสื่อสารมวลชนโดดเข้าร่วมวง บางรายถึงกลับเป็นแกนนำในการประมูล โดยรายสำคัญที่เข้ามาและเป็นอีกเหตุที่สร้างความเสื่อมให้กับทีวีเสรีของไทย ชื่อว่า ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทในเครือทำธุรกิจด้านโทรทัศน์ สหศีนิมา โฮลดิ้งแอนด์ แมนเนจเม้นท์ จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรเข้าร่วมประมูลทีวีเสรีในนาม กลุ่มบริษัทสยามทีวี แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ยื่นข้อเสนอบริหารสถานีทีวีเสรี ที่มีโครงสร้างรายการสาระ 70% และบันเทิง 30% โดยให้ผลตอบแทนแก่รัฐสูงสุดถึง 25,200 ล้านบาท ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี สร้างความตะลึงงันให้กับกลุ่มประมูลอื่น ๆ โดยเฉพาะ สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่ช่วงเวลานั้นยังมีบทบาทหน้าที่ในบริษัท แปซิฟิก และเข้าประมูลร่วมกับกลุ่มมติชน เนชั่น และสามารถคอร์ปอเรชั่น อันเป็นกลุ่มที่คาดหมายจะได้รับคัดเลือก ยังอดประหลาดใจไม่ได้ว่า เงินตอบแทนรัฐที่กลุ่มสยามทีวีฯ เสนอให้นั้น สูงเกินกว่าที่จะทำได้

ที่มาของข้อเสนอผลตอบแทนที่สูงลิ่วกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลา 30 ปีนั้น นิพนธ์ นาคสมภพ กล่าวว่า เกิดจากช่วงเวลาก่อนการยื่นประมูล ตนซึ่งเป็นหนึ่งใน 2 กลุ่มที่ทำงานวิจัยธุรกิจโฆษณา ได้รับการติดต่อจากนายจุลจิตต์ บุณยเกตุ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหศีนิมา โฮลดิ้งแอนด์แมนเนจเม้นท์ ขอข้อมูลมูลค่าตลาดโฆษณาทางโทรทัศน์ และอัตราการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งปรากฎว่า มีการเติบโตอยู่ใน 20-30% ตลอด 5 ปีก่อนหน้า เนื่องจากช่วงเวลานั้นแต่ละสถานีมีการขยายเครือข่ายต่างจังหวัด โดยนายจุลจิตต์ขอข้อมูลนี้ไปโดยไม่ได้ขอความคิดเห็นใด ๆ จากตน

“เวลานั้นผู้ที่ทำงานวิจัยโฆษณาทางโทรทัศน์มีเพียงผม และนิตยสารคู่แข่ง โดยการหามูลค่าธุรกิจโฆษณาจะใช้วิธีนำเวลาโฆษณาที่ออกอากาศทั้งหมด มาคูณกับราคาโฆษณา และหักด้วยส่วนลด ซึ่งช่วงเวลานั้นโฆษณาทางโทรทัศน์กำลังเติบโตอย่างมาก คุณจุลจิตต์มาขอตัวเลข ผมก็ให้ไปว่าเติบโต 30% แต่เหตุผลเพราะอะไรไม่ได้ถาม ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าคุณจุลจิตต์จะคิดได้หรือไม่ว่าเติบโตเพราะอะไร และข้อมูลที่ผมให้ไปเวลานั้นก็ไม่ทราบว่าคุณจุลจิตต์เอาไปทำอะไร” นิพนธ์ นาคสมภพ นักวิชาการอิสระด้านสื่อสารมวลชน กล่าว

สอดคล้องกับแหล่งข่าวที่อยู่ในกลุ่มสยามทีวีฯ ในขณะนั้น กล่าวว่า ทางธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งดูแลเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่ม ใช้ข้อมูลการเติบโตของธุรกิจโทรทัศน์ในขณะนั้น ซึ่งเติบโตระดับ 20% ทุก ๆ ปี มาประกอบการเสนอผลตอบแทนรัฐ จึงเสนอเงินเป็นมูลค่าสูงถึง 25,200 ล้านบาท ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีทางที่ธุรกิจสื่อจะเติบโตเช่นนั้นได้ทุก ๆ ปีตลอดไป แต่เพราะคนที่เสนอเงินคือผู้บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจในสายงานสื่อโทรทัศน์

ชลิต ลิมปนะเวช กล่าวว่า ปัญหานี้ต้องโยนให้นายโอฬาร ไชยประวัติ (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในขณะนั้น) รับผิดชอบ ที่คิดจะขยายธุรกิจให้ธนาคารโดยไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เมื่อประมูลได้มาก็พบว่าไม่สามารถบริหารต่อไปได้ ต้องส่งต่อมาให้กลุ่มชินคอร์ป และมาเปลี่ยนโครงสร้างของสถานีข่าวที่กฎหมายร่างไว้ กลายเป็นสถานีโทรทัศน์ทั่ว ๆ ไป ที่หวังจะใช้เพื่อสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ

เมื่อไอทีวี ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งเป้าให้เป็นอีกธุรกิจที่จะแตกแขนงออกไป ไม่ประสบผลสำเร็จ 4 ปีของการเปิดดำเนินการ มีผลประกอบการขาดทุนราว 2,000 ล้านบาท ทั้งที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 1,000 ล้านบาท หนี้สิน 4,000 ล้านบาท กับสัมปทานรัฐที่ต้องจ่ายรายเดือน จึงนำมาซึ่งการเชื้อเชิญให้กลุ่มทุนที่สนใจจะลงทุนในธุรกิจสื่อโทรทัศน์ เข้ามารับภาระต่อจากธนาคารไทยพาณิชย์ที่เตรียมจะเก็บกระเป๋าหนี ซึ่งก็น่าอนาจใจที่กลุ่มทุนที่เข้ามาใหม่ กลายเป็นกลุ่มทุนการเมือง ที่นอกจากจะหวังกอบโกยรายได้จากทีวีเสรีแห่งนี้แล้ว ยังจ้องที่จะใช้ทีวีเสรีของประชาชนเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มการเมืองของตน

ทันทีที่ชินคอร์ปเข้ามามีบทบาทในไอทีวี ภาพของสถานีข่าวเริ่มถูกลบ กลุ่มเนชั่นบริษัทสื่อมวลชนชั้นนำที่มีผลงานในการผลิตรายการข่าวที่ได้รับความนิยมสูงสุด ถูกอัปเปหิออกไปในเวลารวดเร็ว แต่การเปลี่ยนแปลงที่สร้างความกังขาให้กับสังคม ถึงบทบาทของกลุ่มการเมืองที่จงใจบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฏหมาย เพื่อหวังสร้างผลประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้อง เกิดขึ้นในปี 2547 สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

และยิ่งน่ากังขามากยิ่งขึ้นเมื่อคณะอนุญาโตตุลาการ ประกอบด้วย ประดิษฐ เอกมณี จุมพต สายสุนทร และชัยเกษม นิติสิริ มีคำวินิจฉัยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องปรับลดค่าตอบแทน ผลประโยชน์ที่ไอทีวีต้องจ่ายให้กับ สปน.เป็นรายปี จาก 1,000 ล้านบาท เหลือ 230 ล้านบาท เท่ากับที่สถานีโทรทัศน์สี ช่อง 7 จ่ายให้กับกองทัพบก รวมทั้งให้ไอทีวีปรับสัดส่วนการออกรายการช่วงเวลาไพร์มไทม์ สามารถออกอากาศรายการบันเทิงได้ และปรับการนำเสนอรายการข่าว สารคดี และสาระประโยชน์ ในสัดส่วน 70% เหลือไม่น้อยกว่า 50% เปลี่ยนโฉมทีวีเสรี ที่เกิดขึ้นจากบทเรียนการเสียเลือดเนื้อเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน ในเดือนพฤษภาคม 2535 กลายเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มุ่งหวังกำไร ควบคู่ไปกับผลประโยชน์ที่จะเอื้อต่อพรรคการเมือง และรัฐบาล

สรุปเหตุสปน.ฟ้องไอทีวี

สำหรับการใช้สิทธิของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ในการยึดไอทีวีมาจากเหตุการณ์ดังนี้คือ

1.เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2547 คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำสั่งชี้ขาดให้สปน.ชดเชยความเสียหาย โดยชำระเงินคืนให้แก่ไอทีวีจำนวน 20 ล้านบาท ให้ปรับรับผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญาเข้าร่วมงาน ในส่วนจำนวนเงินรับประกับผลประโยชน์ขั้นต่ำ โดยให้ปรับลดจากเดิมเหลือปีละ 230 ล้านบาท โดยไม่ต้องชำระเงินขั้นต่ำส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีอีก

และให้ปรับลดผลประโยชน์ตอบแทนจากเดิมลงเหลือร้อยละ 6.5 ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายและภาษีกับให้ไอทีวีสามารถออกอากาศช่วงไพร์มไทม์ คือช่วงเวลาระหว่าง 19.00-21.30 น.ได้โดยไม่ต้องถูกจำกัด เพราะรายการข่าว สารคดี และสารประโยชน์ แต่จะต้องเสนอรายการข่าว สารคดี และสารประโยชน์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของเวลาออกอากาศทั้งหมด และอื่นๆ เมื่อมีคำสั่งชี้ขาดดังกล่าวนี้แล้วไอทีวีก็ได้ดำเนินการปรับผังรายการตามคำชี้ขาดตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2547 ทันที

2.ต่อมาสปน.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือมีคำสั่งให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2549 ให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว

3.ไอทีวีได้ยื่นอุธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางดังกล่าวข้างต้นต่อศาลปกครองสูงสุดซึ่งได้มีคำพิพากษาฉบับลงวันที่ 8 ธ.ค. 2549 และอ่านเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ปีเดียวกัน โดยมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ใอมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแล้วไอทีวีได้ดำเนินการปรับผังรายการให้เป็นไปตามสัญญาเข้าร่วมงานทันที

4.สปน.ได้มีหนังสือแจ้งและต่อมาได้แจ้งเตือนให้ไอทีวีชำระค่าตอบแทนส่วนต่างปีที่ 9 ถึงปีที่ 11 จำนวน 2,210 ล้านบาท และดอกเบี้ยจากค่าตอบแทนส่วนต่างดังกล่าวในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี พร้อมทั้งให้ชำระค่าปรับจากการปรับผังรายการ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2547 ถึงวันที่ 13 ธ.ค. 2549 จำนวน 97,760 ล้านบาท รวมยอดเงินที่ต้องชำระให้สปน ทั้งสิ้นกว่าหนึ่งแสนล้านบาท โดยสปน.ได้กำหนดให้ชำระหนี้ดังกล่าวภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ไอทีวีได้รับหนังสือแจ้ง ทั้งนี้หากไอทีวีไม่ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนด สปน.จะดำเนินการตามข้อกำหนดในสัญญาเข้าร่วมงาน และข้อกฎหมายต่อไป

5. ไอทีวีได้มีหนังสือถึงสปน.และมีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อ ประการแรก ขอให้เรียกชำระหนี้จำกัดอยู่เพียงค่าตอบแทนส่วนต่างจำนวน 2,210 ล้านบาท และประการที่สอง ส่วนดอกเบี้ยและค่าปรับจำนวน 100,343,539,667 บาทนั้น คู่สัญญายังมีความเห็นแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญ และเป็นข้อพิพาทที่กำลังอยู่ในกระบวนพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการซึ่งนัดพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 9 มี.ค. 2550 จนถึงเวลาที่ปิดต้นฉบับนี้เรื่องราวของไอทีวียังไม่หยุดนิ่ง ส่วนจะจบลงแบบใด ลงเอยแบบไหน เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะมีคำตอบ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us