|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
3 มุมมองนักลงทุนสถาบันชี้เศรษฐกิจไทยยังพอไปได้แม้จะเป็นขาลง อาจติดๆขัดๆอยู่บ้าง แต่อนาคตยังสดใสทิศทางไปได้ไกลสามารถทำกำไรจากหุ้นได้อยู่ สมจินต์ให้สูตรกระจายความเสี่ยงด้วยวิธีเฉลี่ยลงทุน ด้านธีรพันธุ์แนะจัดสรรแบ่งเงิน 6 ส่วนลงทุนในสินทรัพย์ต่างชนิด
ในยุคเศรษฐกิจขาลง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ลดลง แม้หลายๆคนจะมีทรัพย์สินสุทธิอยู่ในมือ แต่เมื่อเจอกับภาวะเช่นนี้เข้าก็อาจะรู้สึกมึนๆกับความเป็นไปของเศรษฐกิจและไม่รู้จะทำอย่างไรให้สินทรัพย์ที่มีอยู่นั้นทำประโยชน์มีดอกออกผลให้งอกงามได้ประสิทธิผลสูงสุดและมีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำภายใต้สถานการณ์ที่เปราะบางในปัจจุบัน ฉะนั้น 3 ผู้คร่ำหวอดในวงการบริหารเงินจึงได้มารวมตัวกันเฉลยเป็นแนวทางในงานสัมนาเรื่อง "จัดพอร์ตปลอดภัย ทำกำไรอัตโนมัติ"
ธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย มองว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)ปีนี้คงสู้ปีที่แล้วไม่ได้ จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้การส่งออกลดเนื่องจากประเทศเราพึ่งด้านนี้ค่อนข้างมาก อีกทั้งเรื่องระเบิดที่เกิดขึ้นซึ่งก็ทำให้การบริโภคลดลง รวมถึงการลงทุนในปีที่ผ่านมาที่มีทิศทางว่ากำลังจะไปได้ดีก็เกิดมาตรการ30% ทำให้ชะงักกันไป แต่การมีรถไฟฟ้าและมีการใช้จ่ายภาครัฐงบขาดดุล 1.4แสนล้านทำให้ดูดีขึ้นมาบ้าง คาดว่าโดยรวมGDPก็น่าจะเติบโตอยู่ในระดับ3%กว่า
ในด้านของอัตราดอกเบี้ยปีที่ผ่านๆมาแบงก์ชาติก็ได้มีการปรับขึ้นมาแรงมาก ทำให้ปีนี้ต้องลดลงมาให้เหมาะสมกับภาวะตลาดเช่นกัน ซึ่งปีนี้คงจะได้เห็นเงินเฟ้อลง ดอกเบี้ยลง
ขณะที่ปัจจัยภายนอกตอนนี้เงินดูเหมือนท่วมโลก เงินย่อมจะหาที่ไปซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า จนในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวต่ำกว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นแล้ว
ส่วนปัจจัยโลกไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วงนอกจาก เรื่องอิหร่าน เกาหลีเหนือ ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐก็น่าจะชลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป(Soft Landing)แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ปัจจุบันไทยก็มีตลาดอนุพันธ์(Futures)แล้ว ทำให้นักลงทุนสถาบันที่มีหุ้นจำนวนมากไม่จำเป็นต้องขายหุ้นเวลาตลาดหุ้นตก แต่เปลี่ยนไปเป็นชอร์ต Futuresแทน ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
สำหรับหุ้นที่ขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะฝรั่งซื้อ "Index " ไม่ได้ซื้อหุ้นโดยตรง แต่เป็นผู้ที่ออกIndex ค่อยเอาเงินมาซื้อหุ้นบลูชิพตัวใหญ่ๆในประเทศอีกทีหนึ่ง
"โดยสรุปรวมแล้วปัจจัยดีมากๆโลกนี้มันอยู่ในภาวะเข้าสู่สมดุลแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในสภาพที่ลงทุนได้"
ด้าน จักรกฤษณ์ อุทโยภาศ ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ คาดการณ์ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ปีนี้จะมีการเติบโต 4-5% ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงน่าจะส่งผลทำให้ผลผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนในหุ้นทำได้ถึง 12% และจากค่า P/E(ราคาต่อกำไรสุทธิ) ของตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 8 เท่า เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตร10 ปี ที่ให้ดอกเบี้ย 4.5% จะเห็นได้ว่ามีส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนหุ้นและพันธบัตรอยู่ 6-8% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
แต่ค่า P/E ที่ 8 เท่ากว่าๆก็ไม่ได้หมายความว่าถูกเสมอไป เพราะการลงทุนในหุ้นคือการซื้ออนาคต แม้ปัจจุบัน บจ.ต่างๆจะมีกำไรจากการประกอบการบ้าง แต่ไม่ได้เติบโตมาก โดยเฉลี่ยก็ประมาณ 4-5% เทียบกับตลาดเพื่อนบ้านเช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ที่กำไรมีอัตราการเติบโตมากกว่า10% แล้วถือว่าเราเป็นรองอยู่ค่อนข้างมาก แต่ที่หุ้นไทยไม่ได้ลงมากไปกว่านี้เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งอยู่ หากไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากนัก ปัจจัยการเมืองนิ่งไม่มีเหตุการณ์ในเชิงลบ ไม่มีเหตุระเบิดอีก รวมถึงจากสภาพคล่องของโลกล้นก็จะส่งผลให้เม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในแถบเอเซียรวมถึงตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และคาดการณ์ว่าในปี 2551 กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอาจจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 10% ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส3-4 เพื่อรอรับผลตอบแทนที่ดีในปีถัดไป เป็นไปได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อาจไปได้ถึง 900 จุด
"อัตราการเจริญเติบโต(Growth)อาจไม่เห็นในปีนี้แต่จะเห็นได้ในปีหน้า ดังนั้นจึงควรจะทยอยเริ่มเข้าไปเก็บได้แล้วตั้งแต่ช่วงปีนี้เป็นต้นไป"
สำหรับหุ้นกลุ่มที่บริษัทแนะนำลงทุนและมีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการลงทุน คือ หุ้นกลุ่มที่อยู่อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูปัจจัยประกอบให้ดีด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำมันที่เชื่อมโยงด้านระยะการเดินทางซึ่งอาจปรับตัวขึ้นได้ รวมถึง อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้อำนาจการซื้อบ้านมีการสูงขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่ากำไรในปี 2551 จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 10% ค่าP/Eจะอยู่ที่ 9-11 เท่า ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้น แต่ต้องเลือกลงทุนในแบงก์ที่จัดการตัวเองเสร็จแล้วเท่านั้น โดยจากเดิมที่เคยอยู่ในฐานะทำกำไรรับเงินฝาก เปลี่ยนเป็นผู้ทำกำไรจากการให้บริการแทน สังเกตได้จากแบงก์ชั้นนำสมัยนี้ต่างก็มีรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยซึ่งจะสูงขึ้นทุกๆปี นอกจากนี้ก็ยังมีหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่น่าสนใจ เพราะการเติบโตของผลประกอบการที่ดีจากชาวต่างประเทศมั่นใจที่จะเข้ามารักษาพยาบาลมากขึ้น
ขณะที่ สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณ ได้ให้แนวทางในการลงทุนจัดพอร์ตให้ปลอดภัยในชั้นต้น ว่าเหมือนกับการจัดกองทัพให้สมดุลที่ ควรจะมีการกระจายกันไปทั้ง หุ้น พันธบัตร และเงินฝาก ตามอัตราเสี่ยงที่เรายอมรับได้ แม้ว่าหุ้นจะมีความเสี่ยงมากที่สุดก็ตามแต่ในระยะยาวแล้วหากได้ศึกษาสถิติของตลาดหุ้นสหรัฐหรือไทยก็ตามก็จะพบว่าหุ้นก็จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า
"หากจัดกองทัพซึ่งมีสมดุลที่ดี สอดคล้องกับเวลาที่ดี ก็สามารถจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุนได้"
วิธีหนึ่งที่จะทำให้เงินลงทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง และลดเสี่ยงในแต่ละจังหวะลงทุนที่ดีอย่างหนึ่ง คือ ลงทุนแบบ "อัตโนมัติ" หรือลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging-DCA) ซึ่งหากผู้ลงทุนใช้วิธีลงทุนโดยใส่เงินทุกๆ เดือนเท่าๆ กันต่อเนื่องหลายๆ ปี แม้ไม่รู้จังหวะเข้าลงทุน ก็ยังทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จ ทำให้เงินเติบโตได้
วิธีการลงทุนแบบอัตโนมัตินี้ จะช่วยแก้ปัญหาผู้ที่ไม่มีเวลาพิจารณาการลงทุน ไม่จำเป็นต้องเลือกจังหวะที่จะเอาเงินไปลงทุนทั้งก้อนและเป็นการแก้ปัญหาไม่มีเงินเหลือเก็บให้ลงทุน เพราะจะเป็นการออมก่อนใช้โดยเงินลงทุนอัตโนมัติทุกๆ เดือน
ขณะที่การจัดพอร์ตอีกรูปแบบหนึ่งในช่วงเวลาและสถานการณ์แบบนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งในแง่ความเสี่ยงและผลตอบแทน ธีรพันธุ์ จิตตาลาน แนะนำว่า ควรแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 6 ส่วนด้วยกันคือ เงินส่วนแรกซึ่งคิดเป็นน้ำหนัก 10% ควรนำไปซื้อกองทุนเปิดตลาดเงินระยะสั้น(Money market fund) แม้ผลตอบแทนจะเริ่มมีทิศทางลดลงตามภาวะดอกเบี้ย แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าการฝาเงินในธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องของสภาพคล่องที่สามารถไถ่ถอนได้ทุกวันอีกด้วย
ส่วนต่อมาอีก 20-30% ให้แบ่งไปลงทุนในกองทุนเปิดตราสารหนี้ระยะกลาง ที่มีอายุเฉลี่ย 12-18 เดือน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนระหว่าง 4-6% ต่อปี โดยอายุของตราสารที่ยาวขึ้นนี้ก็จะเท่ากับเป็นการล็อกผลตอบแทนให้อยู่ในระดับคงที่สวนทางกับทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาลง
เงินส่วนที่สามอีก 20% ก็ให้นำไปซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากกองทุนประเภทนี้สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึง 6-10% ต่อปี โดยควรซื้อกองทุนที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่ราคาหน่วยลงทุนจะปรับขึ้นขายทำกำไรได้อีกด้วย
ขณะที่เงินอีก 20-30% ก็ควรแบ่งมาลงทุนในหุ้น เพราะมองว่าเป็นจังหวะที่ดีหากเมื่อใดที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมากๆ ก็จะเป็นจังหวะเหมาะที่ถึงเวลาเข้าซื้อ โดยเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ ตลาดหุ้นจะกลับมาดีอีกครั้ง หลังจากการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนตลาดตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวลง แต่หากซื้อกองทุนรวมหุ้น ก็ให้เลือกซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพราะนักลงทุนจะได้รับส่วนลดหย่อนภาษีได้อีก 20-30% บวกกับมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 10-15% ต่อปี โดยก่อนจะตัดสินใจก็ควรจะศึกษาหนังสือชี้ชวนก่อน และควรเลือกกองทุนหุ้นที่ลงทุนใน ตราสารอนุพันธ์ ร่วมด้วย เนื่องจากจะช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ในภาวะที่ตลาดหุ้นเป็นขาลงได้
เงินส่วนที่สี่อีก 10%ให้นำไปลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพชั้นดี โดยตราสารประเภทนี้มีจำนวนมากให้ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบเลือกซื้อได้ และให้ผลตอบแทน 5-7% ต่อปี แต่สิ่งสำคัญคือต้องคัดเลือกหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งชั้นดี
ส่วนเงินสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือให้แบ่งไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) เป็นทางเลือกที่ผู้ลงทุนสามารถที่จะเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงออกไปได้อย่างดี โดยประเภทของกองทุน FIF ที่น่าสนใจคือกองที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน( FX) เพื่อปิดความเสี่ยง เพราะมองว่ามีโอกาสที่สหรัฐอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ผลที่ตามมาจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงได้เมื่อกองทุนต้องแลกเปลี่ยนค่าเงินเป็นสกุลบาท
การจัดพอร์ตให้ปลอดภัยนั้นฟังดูเหมือนไม่น่าจะมีการลงทุนในหุ้นเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย แต่จริงๆแล้วหากใช้วิธีการที่ถูกต้อง เลือกได้ถูกตัว ถูกจังหวะและเวลา ก็สามารถจะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและทำกำไรได้ดี
|
|
|
|
|