ประธานคนใหม่ยูนิลีเวอร์ไทย ประกาศยุทธ์ศาสตร์เชิงรุกลงทุนในไทยต่อเนื่อง หวังกวาดยอดขายให้ได้แสนล้านบาทในปี
พ.ศ.2553 โดยเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก รวมทั้งมองหาการควบรวมกิจการเพื่อสร้างให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น
นายลีโอ โอสเตอร์เวียร์ ประธาน บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ามารับตำแหน่งประธานคนใหม่เมื่อเดือน
ก.ย. 2545 เป็นต้นมา โดยได้แถลงถึงทิศทางของยูนิลีเวอร์ในปีนี้ว่า หลักจากที่ได้ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่
ตั้งแต่ต้นปี 2546 เป็นต้นมา เพื่อสร้างจิตสำนึก ของความเป็นเจ้าของธุรกิจหรือ
Entrepreneurial spirit ได้อย่าง แข็งแกร่ง บริษัทจะทำการตลาด เชิงรุกด้วยการผลิตสินค้าภายใต้นวัตกรรม
ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว และทันกับความต้องการ
โดยบริษัทคาดหมายว่า ใน ปีนี้จะสร้างอัตราการเติบโตทางด้านยอดขายได้ 10% ซึ่งเติบโตเป็นสองเท่า
เมื่อเทียบกับผลประกอบการปี 2545 ที่มีเพียง 5% ด้วยยอดขายรวม 25,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังวางเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้ให้ยูนิลีเวอร์ไทย ในปี 2553
เป็น 100,000 ล้าน บาท ซึ่งจะมาจากการเติบโตของ 5 กลุ่มธุรกิจหลักคือ ธุรกิจเครื่องใช้ในครัวเรือน,
ธุรกิจเครื่องใช้ส่วนบุคคล, ธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลและทำความสะอาดผิว, ธุรกิจไอศกรีม
และธุรกิจอาหาร รวมทั้งจากการควบรวมกิจการกับธุรกิจอื่น
ปีนี้ลงทุนใกล้เคียงกับปีก่อน
นายลีโ อ กล่าวถึงการลงทุนในประเทศไทยสำหรับปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
โดยปี 2545 ยูนิลีเวอร์ ได้ลงทุนเกือบพันล้านบาท ประกอบด้วย การสร้างคลังสินค้าใหม่
สำหรับเป็นศูนย์ กลางการจัดเก็บและกระจายสินค้า ทั้งในประเทศและส่งออกด้วยมูลค่า
800 ล้านบาท, พัฒนาศูนย์กลางเทคโนโลยีประจำภูมิภาคเอเชียเพื่อ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
100 ล้านบาท เป็นต้น
ส่วนในปีนี้ ได้ลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์พอนด์ เนเชอรัล สปา 100 ล้านบาท, พัฒนาผลิตภัณฑ์คนอร์
400 ล้านบาท และไอศกรีมวอลล์ อีก 100 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับแผนการขยาย 5 กลุ่มธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย สินค้าที่เป็นหัวใจสำคัญของ ยูนิลีเวอร์
ถึง 19 แบรนด์นั้น นายลีโอ ได้วางกรอบให้แต่ละกลุ่มธุรกิจเน้นการพัฒนาสินค้า นวัตกรรมใหม่ๆ
เพื่อตอบสนองตลาดอย่างรวดเร็ว การพัฒนาคู่ค้าให้เจริญเติบโต และการสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทในที่สุด
เข้าบริหารเบสท์ฟู้ดส์เดือนนี้
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายการควบรวมกิจการนี้ ล่าสุด ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง ได้ผนวกกิจการเบสท์ฟู้ดส์
โดยจะมีผลตั้งแต่ 25 มีนาคม 2546 เป็นต้นไป ซึ่งการควบรวมกิจการ ในครั้งนี้เป็นผลมาจากการดำเนินการในระดับโลก
ซึ่งยูนิลีเวอร์และบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ แห่งประเทศญี่ปุ่น ได้ตกลงทำสัญญากันเมื่อต้นปีนี้
โดยยูนิลีเวอร์จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัท ซีพีซี/อายิ เอเชีย จากบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ
อิงค์ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจอาหารในประเทศไทย พร้อมแต่งตั้งนายญนน์
โภคทรัพย์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
"การรวมกิจการดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารของยูนิลีเวอร์ในตลาดซึ่งมีศักยภาพสูง
ขณะเดียวกันก็จะช่วยให้ เบสท์ ฟู้ดส์ ได้รับประโยชน์จากการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร
รวมทั้งเครือข่ายการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพของยูนิลีเวอร์"
ทั้งนี้ ยูนิลีเวอร์จะเข้ามาบริหารธุรกิจ ดังกล่าวอย่างเต็มที่ รวมทั้งเริ่มรับรู้ยอดขายและกำไรจากการดำเนินงานของเบสท์ฟู้ดส์
ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2546 เป็นต้นไป
นายเลโอ กล่าวว่า หลังจากการผนึกกำลังดังกล่าวแล้ว เบสท์ฟู้ดส์ ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ปรุงอาหารชั้นนำที่มีโรงงานผลิตและพนักงานชาวไทยกว่า
600 คน จะกลายมา เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจอาหาร ของบริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง
จำกัด ซึ่งจะดูแลธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำหลาย แบรนด์ ได้แก่ เบสท์ฟู้ดส์
คนอร์ และลิปตันไอซ์ที
"สำหรับธุรกิจอื่นๆ ขณะนี้เรายังไม่ทราบว่าจะมีโอกาสควบกิจการกับอะไรได้อีก
แต่ก็เป็น สิ่งจำเป็นถ้าเราจะสร้างยอดขายให้ได้ 1 แสนล้านบาทตามที่วางไว้"
ธุรกิจอาหารเน้นคนอร์-ลิปตัน
สำหรับในปีนี้ กลุ่มธุรกิจอาหารของ ยูนิลีเวอร์ จะมุ่งเน้นพัฒนาแบรนด์ คนอร์
และลิปตัน โดยการวางตำแหน่งให้ คนอร์เป็นผลิตภัณฑ์ปรุงอาหารที่อยู่คู่ครัวไทยทุกบ้าน
และ ลิปตัน เป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ดื่มเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว ยูนิลีเวอร์ จะจัดกิจกรรมสนับสนุนการเปิดตัวคนอร์
โฉมใหม่ในฐานะผู้ช่วยปรุงอาหารมือหนึ่ง ที่รับประกันรสชาติความอร่อย รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
อย่างต่อเนื่อง ส่วนแบรนด์ลิปตันจะเน้นกิจกรรมนอกบ้านและกิจกรรมที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยตรง
ชู"บรีส"หัวหอกเครื่องใช้ในครัวเรือน
นายชนินทร์ อรรจนานันท์ กรรมการ ผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ในครัวเรือน
กล่าวว่า บรีส ยังคงเป็นแบรนด์หลักในการทำตลาดในปี 2546 โดยบริษัทจะปรับปรุงสูตร
และจัดกิจกรรมที่เสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์อย่างต่อเนื่องด้วยแคมเปญโฆษณาและกิจกรรมสำหรับผู้บริโภค
นอกจากนี้จะพัฒนา บรีส เอกเซล และ บรีส ลิควิด เพื่อตอบรับกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในด้านความสะดวกสบาย
และสินค้าคุณภาพสูง
สำหรับซันไลต์ ก็เป็นแบรนด์หลักอีกอีกแบรนด์หนึ่งที่จะผลักดันให้ยูนิลีเวอร์เติบโตสูง
โดยจะพัฒนาแบรนด์ซันไลต์ เพื่อสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ในหมู่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
ซึ่งจะสนับสนุนให้แบรนด์ดังกล่าวมีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ส่วนบุคคล
นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ส่วนบุคคล กล่าวว่า
ในกลุ่มนี้มีสินค้าหลักอยู่ 6 แบรนด์ คือ ซันซิล โดฟ คลินิก แอ็กซ์ เรโซน่า และใกล้ชิด
ซึ่งถือเป็นแบรนด์ชั้นนำของแต่ละตลาด โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด 52% ในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
, 20% ในตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย และ 14% ในตลาดยาสีฟัน
สำหรับปี 2546 เป็นปีที่น่าจับตามองอีกปีหนึ่งของกลุ่มธุรกิจ เครื่องใช้ส่วนบุคคล
ในการเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่มีอยู่ ตลอดจนสร้างสรรค์แบรนด์ใหม่เพื่อการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทยึดถือแนวทางหลัก คือ เข้าใจความต้องการผู้บริโภคสร้างสรรค์นวัตกรรม
และกิจกรรมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดย เดือนมกราคมที่ผ่านมา ยูนิลีเวอร์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแอ็กซ์
โดยใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เพื่อสร้างตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้ชายที่เป็นคนรุ่นใหม่
ในขณะที่ซันซิล ก็เปิดตัวด้วยแคมเปญสุดประกายฝัน ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตามมาด้วยการเปิดตัว
ซันซิล แบล็ค ชายน์ในเดือนกุมภาพันธ์
ทางด้าน โดฟ ครีม แชมพู และโดฟ ครีม คอนดิชั่นเนอร์ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน
2545 ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดแชมพูอันดับที่ 4 ในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนี้ บริษัทยังได้
เตรียมแคมเปญเด่นๆ อีกมากมายสำหรับปี 2546
พอนด์ยังครองใจผู้บริโภค
ทางด้านนายวิทวัส ตันติเวสส กรรมการ ผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลและทำความสะอาดผิว
ซึ่งประกอบด้วยสินค้าหลัก คือ พอนด์ วาสลีน ซิตร้า ลักส์ และ ยูนิลีเวอร์ เน็ตเวิร์ค
โดยผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 36% โดยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเจ้าตลาด
ได้แก่ พอนด์ส วาสลีน และ ซิตร้า ซึ่งในเดือนมีนาคมนี้ พอนด์สจะเปิดตัวพอนด์ส เนเชอรัล
สปา ที่ใช้เงินลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ถึง 400 ล้านบาท ซึ่งสอดรับกัความนิยมในความงามอย่างเป็นธรรมชาติและสปาที่กำลังมาแรง
ส่วนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว ยูนิลีเวอร์เพิ่งเปิดตัวแคมเปญใหม่ของ ลักส์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลก
แคมเปญดังกล่าวในประเทศไทยมีซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง มาช่า, หมิว ลลิตา และแอน ทองประสม
เป็นพรีเซ็นเตอร์ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี บริษัทจึงมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาแคมเปญใหม่ๆ
อย่างต่อเนื่องตลอดปี
วอลล์พัฒนาสินค้าให้ทุกกลุ่ม
สำหรับกลุ่มธุรกิจไอศกรีม ซึ่งเป็นหัวหอกหลักที่สร้างรายได้ในอันดับต้นๆของยูนิลีเวอร์
นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจไอศกรีม กล่าวว่า ในปีนี้วอลล์ได้พัฒนาแบรนด์สู่การเป็น
PowerBrand หรือแบรนด์ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตและสร้างประสบการณ์แห่งรสชาติอันแปลกใหม่
ที่จับใจผู้บริโภคและคนรัก ไอศกรีม
ในปีนี้วอลล์จะพัฒนาตลาดไอศกรีมประจำบ้านโดยการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้หันมารับประทานไอศกรีมเป็นของหวานได้ทุกวัน
นอกจากนี้วอลล์ ยังปฏิวัติ ตลาดไอศกรีมนอกบ้านด้วยกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างเต็มรูปแบบผ่านแบรนด์ที่มีในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็น วอลล์ แพ้ดเดิ้ลป๊อป ซึ่งเป็นไอศกรีมสำหรับเด็ก วอลล์ คอร์นเนตโต
ซึ่งเป็นแบรนด์หลักที่เจาะกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
ทั้งนี้ นายลีโอ กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายสินค้าของยูนิลีเวอร์ทั่วโลก
จะมาจากกลุ่มเครื่องใช้ภายในครัวเรือน และเครื่องใช้ส่วนบุคคล 50% ส่วนอาหารและไอศกรีม
มีสัดส่วน 50% สำหรับประเทศไทย สัดส่วนของธุรกิจอาหารยังมีเพียง 20-30% เท่านั้น
แสดงว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และหากพิจารณาสินค้าของยูนิลีเวอร์โดยรวมแล้ว
ก็พบว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกทั้งสิ้น