|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ยูนิ-ชาร์ม ขยับเป้าหมายสู่ผู้นำตลาดซึมซับระดับโลก ชูนโยบายเร่งกระตุ้นการใช้สินค้าทุกไลน์ โดยรุกขยายตลาดต่างจังหวัดเพิ่มความถี่การใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กต่อเนื่อง ดันไทยทุบสถิติโลกมีแชร์สูงสุด 70%ภายในสิ้นปี ด้านตลาดผ้าอนามัย เพิ่มพฤติกรรมหญิงใช้ผ้าอนามัยชนิดกลางคืน เพื่อดันมูลค่ายอดขาย หลังพบมีสัดส่วนการใช้เพียง 38% การบุกของยูนิ-ชาร์มในปีนี้ หวังว่าจะโกยแชร์เพิ่มจาก 6% เป็น 10% ในตลาดซึมซับระดับโลก
หลังจากที่ยูนิ-ชาร์มสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดในหลายสินค้า อาทิ ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก ที่มีแบรนด์ "มามี่ โพโค" เป็นผู้นำด้วยแชร์กว่า 66% แบรนด์ "โซฟี" ผู้ฮุบบัลลังก์ผ้าอนามัยด้วยส่วนแบ่ง 45% ขณะที่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ "ไลฟ์รี่" ที่ตอนนี้เป็นเบอร์ 2 มีแชร์กว่า 20% ก็กำลังไล่กวดเบอร์ 1 อย่าง "เซอร์เทนตี้" อย่างเต็มที่ โดยหวังว่าจะขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้เช่นกัน
จากผลงานที่น่าพอใจดังกล่าว นับจากนี้ เป้าหมายของยูนิ-ชาร์มจึงขยับสู่การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ซึมซับระดับโลก ด้วยการผลักดันสินค้าซึมซับทั้ง 3 กลุ่ม ที่ยูนิ-ชาร์มมีความถนัดให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น หรือมีการเติบโตมากกว่าภาพรวมของแต่ละตลาด ภายใต้งบการตลาดรวมกว่า 300 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 5% เพื่อใช้ในการจัดโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมทั้งพัฒนาการใช้สินค้าของผู้บริโภคด้วย
เริ่มตั้งแต่ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กมูลค่า 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ผ้าอ้อมชนิดแถบเทป 68% ผ้าอ้อมชนิดกางเกง หรือแพ้นท์ 32% แม้ว่ามามี่โพโคจะสามารถครองแชมป์ด้วยแชร์ 66% ซึ่งห่างจากคู่แข่งรายอื่นหลายช่วงตัวก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไดร์เพอร์ส ที่มีแชร์เพียง 10% หรือแพมเพอร์สอดีตผู้นำตลาดก็เหลือแชร์เพียง 1% เท่านั้น ทำให้บรรดาผู้เล่นเหล่านี้ไม่อยู่ในสายตาของมามี่โพโคอีกต่อไป
แต่จากภาพรวมตลาดที่ยังเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอัตราการใช้ในปัจจุบันยังไม่ครบ 100% โดยกรุงเทพฯใช้เพียง 50% ต่างจังหวัด 30% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวันที่มีการใช้ 100% แล้ว ดังนั้น ยูนิ-ชาร์มจึงเร่งกระตุ้นพฤติกรรมการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กให้มากขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งค่ายนี้หันมาบุกตลาดนี้มากขึ้นตั้งแต่ปีก่อน หลังจากที่เริ่มเอดดูเคทผ่านช่องทางโรงพยาบาลมาหลายปี
ด้วยการนำสินค้าขนาดเล็ก เช่น ขนาด 4 ชิ้น, ขนาด 20 ชิ้น เข้าไปกระตุ้นให้เกิดการทดลองใช้ก่อน ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดีทั้ง 2 ขนาด โดยวัดจากยอดขายในกลุ่มต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้นกว่า 5% จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ 50% ซึ่งยูนิ-ชาร์มตั้งเป้าจะให้สัดส่วนของต่างจังหวัดเพิ่มเป็น 65% ภายใน 3 ปี ด้วยการเอดดูเคทผู้บริโภคให้มีพัฒนาการใช้สินค้าเหมือนผู้บริโภคในกรุงเทพฯ เช่น จากการใช้สินค้าขนาดเล็กก็เพิ่มเป็นสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ขนาด 40 ชิ้น หรือผู้ที่ใช้แบบแถบกาวก็พัฒนามาใช้เป็นชนิดกางเกง ซึ่งยูนิ-ชาร์มคาดว่าจะทำให้มามี่โพโคมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 70% ภายในปีนี้ และด้วยตัวเลขนี้ก็จะทำให้ค่ายนี้สามารถทำสถิติเป็นผู้นำผ้าอ้อมเด็กในตลาดโลกได้
"ปีนี้คาดว่าแบรนด์มามี่โพโคจะมีแชร์ 70% ซึ่งจะเป็นสถิติโลกของการเป็นผู้นำตลาดที่มีแชร์สูงสุด ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัทที่ยังไม่เคยมีประเทศใดเคยทำได้มาก่อน" เป็นคำกล่าวของ ดำรงค์ ปิยะนิจดำรงค์ กรรมการบริหาร บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปมามี่โพโค ผ้าอนามัยโซฟี และผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ไลฟ์รี่
สำหรับตลาดผ้าอนามัยมูลค่า 3,600 ล้านบาท ที่มีการเติบโตราว 2% เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นที่มีการใช้ครบ 100% โดยโซฟีเป็นผู้นำมีส่วนแบ่ง 45% รองลงมาคือ ลอริเอะ 30% ซึ่งการทำตลาดตอนนี้ยูนิ-ชาร์มหันมากระตุ้นผู้บริโภคให้ใช้ผ้าอนามัยตามช่วงเวลามากขึ้น เพราะจากการสำรวจ พบว่า ผู้หญิง มีการใช้ผ้าอนามัยชนิดกลางวัน 62% ส่วนชนิดกลางคืนมีเพียง 38% ทั้งนี้เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น เนื่องจากผ้านามัยชนิดกลางคืนมีราคาสูงกว่าชนิดกลางวัน รวมทั้งจะมีนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆมาสนองความต้องการของผู้บริโภค
"ผ้าอนามัยชนิดกลางคืน ทำให้แชร์โซฟีเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มมูลค่าด้านยอดขายด้วย"
ขณะที่ตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปผู้ใหญ่ มูลค่า 500 ล้านบาท ที่มีการเติบโตมากกว่า 20% ยูนิ-ชาร์ม ก็มีแบรนด์ "ไลฟ์รี่" เป็นเบอร์ 2 ในตลาดมีแชร์ 20% รองจากเซอร์เทนตี้ที่มีแชร์อยู่ 50% แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดยังห่างจากผู้นำกว่าครึ่ง แต่ยูนิ-ชาร์มก็พยายามผลักดัน จัดโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการใช้ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าตำแหน่งแชมป์ของตลาดนี้ไลฟ์รี่ก็หวังจะครอบครองเช่นกัน เพื่อเป็นอีกขาหนึ่งในการอุ้มยูนิชาร์มขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตลาดซึมซับระดับโลกในอนาคต
เมื่อยูนิ-ชาร์ม หมายจะผนึกส่วนแบ่งตลาดทั้ง 3 กลุ่มสินค้า เพื่อขยับตำแหน่งขึ้นสู่ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ซึมซับระดับโลก เป้าหมายที่ถูกวางไว้ครั้งนี้ ยูนิ-ชาร์มจะคว้ามาได้เป็นผลสำเร็จหรือไม่ และเมื่อไหร่คงต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ๆปีนี้คงต้องลุ้นกันก่อนว่า ยูนิ-ชาร์มจะเพิ่มการเติบโตของยอดขายรวมได้ 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 7,500 ล้านบาทรวมทั้งดันแชร์ในตลาดโลกจาก 6% เป็น 10% ตามเป้าที่วางไว้ได้หรือเปล่า
|
|
|
|
|