ตลาดพีดีเอโฟนไทยมูลค่า 1,800 ล้านบาท ยังคงความร้อนแรง แรงจัด เมื่อ "ซินเน็ค" เล็งเห็นตลาดอนาคตไกล จับมือแบรนด์ "มีโอ้" ผู้นำตลาดจีพีเอส พีดีเอโฟนจากไต้หวันนำบุกตลาด หวังอาศัยชื่อผู้ผลิตจีพีเอสเบอร์หนึ่งของโลกเข้าช่วงชิง ตั้งเป้าขอส่วนแบ่งตลาด 10% ด้านล็อกซ์เล่ย์ไม่น้อยหน้าส่ง "จีสมาร์ท ไอ300" ชูฟีเจอร์จีพีเอสเข้าประกบเช่นกัน ขอติดท็อป 3 ก็พอ ส่วนโอทูเข็น "เอ็กซ์ดีเอ อะตอม ไลฟ์" มัลติมีเดีย พีดีเอเข้าสู้ เชื่อมั่นดีไซน์บวกแอปพลิเคชั่นสู้คู่แข่งได้ พร้อมประกาศตำแหน่งผู้นำใครห้ามแตะ
ตลาดพีดีเอโฟนเมืองไทยร้องแรงไม่หยุด เมื่อบริษัทผู้ผลิตต่างพาเหรดกันนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่เข้าตลาดกันแทบทุก อาทิตย์ เริ่มจากบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวพีดีเอโฟน "จีสมาร์ท" รุ่นไอ300 ที่มีจุดเด่นทางด้านจีพีเอสเข้ามาทำตลาด ขณะที่ทางบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งพีดีเอโฟน "มีโอ้" รุ่นพี535 ที่มีจุดเด่นในเรื่องจีพีเอสเช่นกันเข้ามาสนองความต้องการของผู้บริโภคคนไทย
จากการเปิดเผยของ สุรช ล่ำซำ กรรมการบริหาร บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) พบว่า ตลาดพีดีเอโฟนในเมืองไทยจะเติบโต 10-20% ต่อปี โดยมียอดขายอยู่ประมาณ 80,000-100,000 เครื่อง
"ล็อกซเล่ย์ยังให้ความสำคัญกับตลาดพีดีเอโฟนในปีนี้เป็นพิเศษเนื่องจากมองเห็นว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น โดยจะมุ่งไปสู่จีพีเอสโฟนมากขึ้น หลังจากที่กิ๊กกะไบท์ได้รีแบรนด์สินค้าในกลุ่มโทรศัพท์มือถือเป็นจีสมาร์ทแล้วเพื่อให้แบรนด์มีความใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้ทางบริษัทสามารถทำตลาดได้อย่างเต็มที่มากขึ้นในปีนี้ ปีนี้ล็อกซเล่ย์มองว่า น่าจะขายพีดีเอ จีพีเอสโฟน 6 รุ่นขึ้นไป โดยอยากได้ส่วนแบ่งตลาดพีดีเอโฟนเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยปีที่ผ่านมาล็อกซเล่ย์ขายพีดีเอโฟน 3 รุ่นมียอดขายประมาณ 4,000-5,000 เครื่อง
สำหรับตำแหน่งทางการตลาดของจีสมาร์ท ไอ300 นั้น ทางล็อกซเล่ย์วางไว้เป็นพีดีเอ จีพีเอสโฟนที่มีที่ราคาอยู่ที่ 23,900 บาท ที่ถือว่าเกือบจะถูกที่สุดในตลาด มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่ใช้พีดีเอโฟนอยู่แล้ว เป็นกลุ่มคนที่ชอบเทคโนโลยีและคุ้นเคยกับเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนหรือพีดีเอโฟน รวมทั้งยังมีจุดขายเรื่องการลงซอฟต์แวร์ในกลุ่มที่ล็อกซเล่ย์พัฒนาเองที่แตกต่างจากคู่แข่งนอกเหนือจากซอฟต์แวร์เพาเวอร์ แมป
"ได้นำเข้ามาช่วง 2 เดือนแรกประมาณ 2 พันเครื่องและคาดว่าน่าจะขายได้เดือนละอย่างน้อย 700 เครื่อง"
ซินเน็คส่งมีโอ้เข้าประกวด
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปีนี้ ทางบริษัทฯ มีแนวทางในการขยายธุรกิจเข้ามาในหมวดสื่อสารโทรคมนาคมให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากเดิมจำหน่ายสินค้าในกลุ่มไอทีมาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบวีโอไอพีมาแล้ว และล่าสุดได้นำพีดีเอโฟน แบรนด์ "มีโอ้" เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนการที่ซินเน็คเลือกเปิดตัวในวงการสื่อสารโทรคมนาด้วยการทำตลาดพีดีเอโฟน "มีโอ้" จากประเทศไต้หวันนั้น สุพันธุ์มองว่า ทุกวันนี้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นสินค้าแฟชั่นไปแล้ว แต่ละเดือนจะมีสินค้ารุ่นใหม่ๆ มาทำตลาดมากมาย การแข่งขันในตลาดรุนแรง เป็นการยากในการทำตลาด แต่ตลาดพีดีเอโฟนในเมืองไทยยังมีขนาดตลาดของพีดีเอโฟนน้อยมากประมาณ 1% ของตลาดมือถือโดยรวมซึ่งยังสามารถขยายได้อีกมาก และคาดว่าปีนี้ตลาดพีดีเอโฟนจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา ด้วยยอดรวมประมาณ 100,000 เครื่อง คิดเป็นมูลค่าตลาดตกประมาณ 1,800 ล้านบาท
จุดขายที่ซินเน็คนำแบรนด์ มีโอ้เข้ามาทำตลาดนั้น เป็นเรื่องของแบรนด์มีโอ้ที่ถือว่าเป็นผู้นำตลาดจีพีเอส พีดีเอโฟนในตลาดโลก ในปี 2549 ที่ผ่านมามีกำลังการผลิตคิดเป็น 50% ของตลาดรวมซึ่งรวมถึงการผลิตให้แบรนด์อื่นด้วย ขณะที่ผลิตภายใต้แบรนด์มีโอ้ประมาณ 20% ของตลาดรวมทั้งหมดหรือคิดเป็นประมาณ 1,500,000 เครื่องโดยเป็นผู้นำอันดับในยุโรป และกำลังขยายตลาดมาแถบเอเชีย จีน
มีโอ้ เอ701 ที่ซินเน็คนำเข้ามาบุกตลาดในครั้งนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่รวม 3 ระบบไว้ในเครื่องเดียวกันคือ หนึ่ง ฟังก์ชันการใช้งานแผนที่นำทางเพื่อใช้งานการค้นหาเส้นทาง และจำเส้นทางเดิมที่เคยค้นหาได้เมื่อมีการเมโมรี่ไว้ก่อน.สอง ระบบการเชื่อมต่ออีเมล์ การเก็บข้อมูล และสาม ระบบการสื่อสารหรือการเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มคนทำงานและนักธุรกิจที่มีความทันสมัย มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเองและมีความคุ้นเคยในแบรนด์ มีโอ้ว่าเป็นผู้นำในเทคโนโลยีระบบแผนที่ระดับโลก
"บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำท็อป 3 ในตลาดจีพีเอส พีดีเอโฟนในประเทศไทยภายใน 2 ปี โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 10% ของตลาด ภายใต้งบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ประมาณ 10 ล้านบาท"
โอทูหวังผู้นำตลาดต่อ
ในปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตพีดีเอโฟนอีกรายในตลาดโลก ประสบปัญหาเรื่องการประเมินกำลังการผลิตสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการตลาดส่งผลให้ยอดขายโอทูในประเทศไทยดูไม่เปรี้ยงปังเหมือนเมื่อปีก่อนหน้านี้
มาร์ค บิลลิงตัน ซีอีโอของโอทู เอเชียแปซิฟิกตะวันออกกลางได้กล่าวถึงกิจกรรมของโอทูในปีที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ไปทำโรดโชว์และกิจกรรมต่างๆ ในประเทศตะวันออกเพื่อทำการขยายตลาดจากเดิมบริษัทจะเน้นการทำตลาดในประเทศเอเชียเป็นหลัก ทั้งนี้ยังได้มีการติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า
"ในปี 2549 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทยประมาณ 43% โดยในปี 2550 นั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2549 เพื่อเป็นการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดพีดีเอโฟนต่อ เนื่องจาก โอทูเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง มีทีมงานที่ดีและมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพโดยตลาดรวม พีดีเอปี 2550 อยู่ที่ 300,000 เครื่อง"
มาร์ค บิลลิงตันยังบอกอีกว่า ในปี 2550 โอทูจะนำผลิตภัณฑ์เข้ามามากขึ้น โดยในไตรมาสแรกที่บริษัทจะเปิดตัวจะมีทั้งหมด 4 รุ่น และจะทำการออกมาอีก 3-5 ตัวประมาณไตรมาสที่ 4 หรือปลาย ปี 2550 ทั้งนี้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ 4 รุ่นที่บริษัทจะเปิดตัวในไตรมาสแรก บริษัทตั้งเป้ายอดขายรุ่นละ 10,000 เครื่องหรือ 40,000 เครื่องในตลาดประเทศไทย
ล่าสุด โอทูได้เปิดตัวพีดีเอโฟนรุ่น เอ็กซ์ดีเอ อะตอม ไลฟ์เพื่อตอบสนองความต้องการงานทางด้านมัลติมีเดีย โดยยังคงให้ความสำคัญไม่เพียงแต่กับความสามารถในการสร้างผลงาน แต่ยังรวมถึงความสร้างสรรค์ในการทำงาน ด้วยดีไซน์ตัวเครื่องกรอบ สีดำวาวตัดขอบโครเมี่ยม น้ำหนัก 145 กรัม พร้อมคุณสมบัติการเชื่อมต่อแบบไร้สายความเร็วสูง เอชเอสดีพีเอรองรับมาตรฐานการสื่อสารยุค 3.5จี พร้อมกับบลูทูธและไวร์เลสแลนในตัวเครื่อง
|