นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของเซ็นทรัลรีเทลในปี 2546 ว่า บริษัทจะลงทุน 3,500
ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ซึ่งใช้เงินลงทุน 1,500 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อการขยายสาขาของกลุ่มธุรกิจสเปเชียลตี้ สโตร์ อีก 30-50 สาขา
อาทิ เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส เป็นต้น รวมทั้งการปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม
และโรบินสันให้ทันสมัยขึ้น นอกจากนี้ยังใช้เพื่อปรับระบบการบริหารงานและพัฒนาบุคลากรของเซ็นทรัลรีเทล
ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“การที่เราลงทุนมากขึ้นเนื่องจากในปีที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการด้านการท่องเที่ยว หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า
ส่งผลดีต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ซึ่งสร้างความมั่นใจในการลงทุนได้เป็นอย่างดี
ซึ่งในปีหน้าเรามีโครงการลงทุนเพิ่มอีก เช่น ที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และที่สี่แยกพระราม
9 และจะขยายโครงการขนาดใหญ่อีกปีละ 1 โครงการ”
ทั้งนี้เงินลงทุนสำหรับปีนี้ยังไม่รวมถึงการลงทุนในโครงการศูนย์การค้าเวิลด์เทรด
เซ็นเตอร์ ที่กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาได้รับสิทธิบริหารโครงการจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการวางแผนงาน โดยคาดว่าจะสรุปผลการศึกษาได้ในเดือนเมษายนนี้
ปั้นเวิลด์เทรดเป็นแหล่งรายได้หลัก
สำหรับการพัฒนาโครงการศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์นี้ นางวัลยา จิราธิวัฒน์
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด
กล่าวเสริมว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล จะนำกลุ่มธุรกิจที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นเพาเวอร์บาย
ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส ซึ่งจะเป็นการขยายสาขาอย่างเต็มรูปแบบที่ทุกกลุ่มธุรกิจจะพัฒนาให้เป็นร้านค้าต้นแบบ
ที่โดดเด่นทั้งเรื่องการคัดเลือกสินค้าและการนำเสนอ เพื่อให้แตกต่างจากสาขาอื่นๆ
โดยกลุ่มเซ็นทรัลมีเป้าหมายที่จะสร้างให้ศูนย์การค้าเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ที่กำลังจะเปลี่ยนชื่อใหม่
ให้เป็ นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของประเทศไทย
ทั้งนี้เชื่อว่าหลังจากที่พัฒนาศูนย์การค้าแห่งนี้ได้บรรลุจามเป้าหมายแล้ว เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
จะกลายเป็นสาขาที่สร้างรายได้ให้แก่กลุ่มเซ็นทรัลมากเป็นอันดับหนึ่ง จากปัจจุบันที่เซ็นทรัลชิดลม
และเซ็นทรัล ลาดพร้าว เป็นสองสาขาที่สร้างรายได้สูงสุดในขณะนี้
ปรับใหญ่เซ็นทรัลชิดลม
การพัฒนาเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ส่งผลให้เซ็นทรัลรีเทล ต้องปรับปรุงเซ็นทรัล สาขาชิดลมครั้งใหญ่
ซึ่งจะปรับให้เป็นห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ ที่จะแตกต่างจากห้างสรรพสินค้าเซน
ในโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่จะจับกลุ่มเทรนดี้ ไลฟสไตล์เป็นหลัก โดยการปรับปรุงสาขาชิดลมจะเริ่มกลางปี
2546 และเสร็จในปี 2547
สร้างรายได้จากสเปเชียลตี้สโตร์
นายทศ กล่าวว่า สำหรับรายได้หลักของเซ็นทรัลรีเทล ยังมาจากห้างสรรพสินค้า โดยห้างเซ็นทรัล
ทำรายได้ให้กว่า 40% จากรายได้รวมทั้งหมด ในขณะนี้ธุรกิจในกลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์
ไม่ว่าจะเป็น บีทูเอส เพาวเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต โฮมเวิร์คส ออฟฟิศเดโป เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราเติบโตสูงมากจากเดิมที่เคยทำรายได้ประมาณ
21% ในปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 30% และในปีหน้าคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 35% ของรายได้รวม
38,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทหันมาเน้นการขยายธุรกิจในกลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์ให้มากขึ้น
เพื่อให้ธุรกิจของเซ็นทรัลขยายต่อไปได้ โดยล่าสุดได้ร่วมทุนกับกลุ่มไดโดมอน และสหกรุ๊ป
นำร้าน 100 เยน เข้ามาเปิดในประเทศไทย โดยสินค้าภายใน้านจะจำหน่ายราคาเดียวที่
60 บาท และเป็นสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นและประเทศใกล้เคียงทั้งหมด โดยจะใช้พื้นที่แต่ละร้านประมาณ
1,000 ตารางเมตร
ทั้งนี้ในการขยายสาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้าและกลุ่มธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ ในปีที่ผ่านมามีรวมทั้งสิ้น
30 สาขา ประกอบด้วย เซ็นทรัล 1 สาขาที่เซ็นทรัลพลาซ่าพระราม 2 ซึ่งนับเป็นร้านใหญ่ร้านแรกของเซ็นทรัลรีเทล
หลังจากเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เป็นต้นมา เพาเวอร์บายเปิด 10 สาขา
ซูเปอร์สปอร์ต 4 สาขา บีทูเอส 12 สาขา โฮมเวิร์คส 2 และ ออฟฟิศเดโป 1 สาขา
ส่วนโรบินสันได้ปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สาขารัชดาซึ่งเป็นสาขาหลัก โดยมีการเปิด โฮม
ยูนิเวิร์สท์ รวมเอาข้อเด่นของ 3 ธุรกิจหลักคือ โรบินสัน เพาเวอร์บาย และโฮมเวิร์คส
เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอยสำหรับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเซ็นทรัลรีเเทลได้ลงทุนในเรื่องต่างๆเหล่านี้รวมทั้งสิ้น
11,000 ล้านบาท
ปรับโครงสร้างผู้บริหาร
นอกเหนือจากแผนการขยายธุรกิจแล้ว นายทศ ได้กล่าวถึงการปรับโครงสร้างผู้บริหารในกลุ่มธุรกิจใหม่
ภายหลังจากที่ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารห้างสรรพสินค้าโรบินสัน
เพื่อไปรับตำแหน่งใหม่ในสยามแฟมิลี่มาร์ทว่า ได้แต่งตั้งให้นายปรีชา เอกคุณากูล
จากบีทูเอส และโฮมเวิร์คส ไปเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน
นอกจากนี้ยังแต่งตั้งนายพิทักษ์ ตันพิบูลย์วงศ์ จากออฟฟิศเดโป และ เซ็นทรัลออนไลน์
ไปเป็นกรรมการผู้จัดการของโฮมเวิร์คส
นายพงศ์ ศกุนตนาค เลื่อนตำแหน่งจาก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการของ ออฟฟิศ เดโป และ
เซ็นทรัล ออนไลน์ เป็นกรรมการผู้จัดการ
สำหรับบีทูเอส ได้แต่งตั้งนายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ซึ่งรับผิดชอบด้านจัดซื้อของบีทูเอสมารับหน้าที่กรรมการผู้จัดการ
“จะเห็นได้ว่าเรายึดนโยบายที่จะแต่งตั้งผู้บริหารจากบุคคลภายในก่อน โดย 2 ท่านแรกนั้นอยู่กับเซ็นทรัลรีเทลไม่ตำกว่า
10 ปีแล้ว และหมุนเวียนรับตำแหน่งอยู่ในหน่วยธุรกิจต่างๆของเซ็นทรัล ทำให้มีประสบการณ์สูง
ส่วนอีกสองท่านนั้นเป็นการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไป ซึ่งแสดงให้เห็นการพัฒนาระบบบริหารที่เป็นระบบและเป็นมืออาชีพอยู่ตลอดเวลา”
เดินหน้าระบบลอจิสติก
นายทศ ได้กล่าวถึงแผนงานด้านระบบลอจิสติกว่า การค้าปลีกของเซ็นทรัลประกอบด้วยระบบซื้อขาดและฝากขาย
ระบบลอจิสติกส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศไทยรวมทั้งที่ เพาเวอร์บาย
จะเป็นระบบสำหรับสินค้าซื้อขาด ยังไม่มีที่ใดในประเทศไทยที่มีระบบการกระจายสินค้าสำหรับสินค้าฝากขาย
เซ็นทรัลรีเทลจึงได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาคือ McKinsey เข้ามาให้คำแนะนำ เพื่อทำให้ระบบที่เริ่มไว้พัฒนาขึ้นเป็นระบบ
Supply Chain Management เต็มรูปแบบ กล่าวคือเพื่อให้การทำงานกับซัปพลายเออร์มีประสิทธิภาพ
ไม่ให้สินค้าขาดจากหน้าร้าน โดยคุมให้ มีสินค้าคงคลังน้อยที่สุด ทั้งนี้เซ็นทรัลจะแลกเปลี่ยนข้อมูลและปรับระบบกับซัปพลายเออร์
เพื่อตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรต้องเสียออกจากระบบให้หมด
โครงการนี้ก็จะเริ่มดำเนินการในเร็วๆนี้ การลงทุนครั้งนี้นอกจากจะเกิดประโยชน์แก่ร้านค้าและลูกค้าโดยตรงแล้ว
บริษัทฯยังเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งโดยรวมของประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้เซ็นทรัลรีเทลยังรวมศูนย์ระบบบัญชีและการเงิน ของทุกบริษัทเข้าด้วยกันและจัดตั้งเป็นหน่วย
Finance and Accounting Service Team หน่วยงานนี้จะให้ความสะดวกแก่คนที่มาใช้บริการ
ซึ่งได้แก่ร้านค้าและคู่ค้าของเซ็นทรัล ร้านค้าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะช่วยทำให้สะดวกขึ้น
เช่น การรับเงินจากธนาคาร การตรวจสอบเวลาและการจ่ายเงินผ่านเซ็บไซต์เป็นต้น
ตั้งเป้าเติบโตปีละ 12-15%
สำหรับผลประกอบการของเซ็นทรัลรีเทลนั้น นายทศ กล่าวว่า จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลดังกล่าว
เซ็นทรัลรีเทลได้ขยายกิจการและมีผลประกอบการที่เติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น
38,000 ล้านบาทเติบโตจากปี2545 ถึง12% และมีการเติบโตของกำไรจากปีที่แล้ว 39% สำหรับปี
2546 นี้เซ็นทรัลรีเทลวางเป้าหมายไว้ว่าจะมียอดขาย 42,000 - 44,000 ล้านบาทหรือเติบโตขึ้น
10-15% โดยจะเปิดสาขาใหม่ไม่น้อยกว่าปี 2545 คือ 30-50 สาขา และมีการพัฒนารูปแบบของร้านให้หลากหลายยิ่งขึ้น