Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 มีนาคม 2546
เซ็นทรัลมั่นใจนโยบายรัฐลงทุนเพิ่มอีก3,500ล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ เซ็นทรัลกรุ๊ป

   
search resources

เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น, บจก.
ทศ จิราธิวัฒน์




นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของเซ็นทรัลรีเทลในปี 2546 ว่า บริษัทจะลงทุน 3,500 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ซึ่งใช้เงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อการขยายสาขาของกลุ่มธุรกิจสเปเชียลตี้ สโตร์ อีก 30-50 สาขา อาทิ เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส เป็นต้น รวมทั้งการปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลชิดลม และโรบินสันให้ทันสมัยขึ้น นอกจากนี้ยังใช้เพื่อปรับระบบการบริหารงานและพัฒนาบุคลากรของเซ็นทรัลรีเทล ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“การที่เราลงทุนมากขึ้นเนื่องจากในปีที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการด้านการท่องเที่ยว หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ส่งผลดีต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ซึ่งสร้างความมั่นใจในการลงทุนได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปีหน้าเรามีโครงการลงทุนเพิ่มอีก เช่น ที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และที่สี่แยกพระราม 9 และจะขยายโครงการขนาดใหญ่อีกปีละ 1 โครงการ”

ทั้งนี้เงินลงทุนสำหรับปีนี้ยังไม่รวมถึงการลงทุนในโครงการศูนย์การค้าเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ที่กลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาได้รับสิทธิบริหารโครงการจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการวางแผนงาน โดยคาดว่าจะสรุปผลการศึกษาได้ในเดือนเมษายนนี้

ปั้นเวิลด์เทรดเป็นแหล่งรายได้หลัก

สำหรับการพัฒนาโครงการศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์นี้ นางวัลยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล จะนำกลุ่มธุรกิจที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นเพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส ซึ่งจะเป็นการขยายสาขาอย่างเต็มรูปแบบที่ทุกกลุ่มธุรกิจจะพัฒนาให้เป็นร้านค้าต้นแบบ ที่โดดเด่นทั้งเรื่องการคัดเลือกสินค้าและการนำเสนอ เพื่อให้แตกต่างจากสาขาอื่นๆ โดยกลุ่มเซ็นทรัลมีเป้าหมายที่จะสร้างให้ศูนย์การค้าเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ที่กำลังจะเปลี่ยนชื่อใหม่ ให้เป็ นศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของประเทศไทย

ทั้งนี้เชื่อว่าหลังจากที่พัฒนาศูนย์การค้าแห่งนี้ได้บรรลุจามเป้าหมายแล้ว เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ จะกลายเป็นสาขาที่สร้างรายได้ให้แก่กลุ่มเซ็นทรัลมากเป็นอันดับหนึ่ง จากปัจจุบันที่เซ็นทรัลชิดลม และเซ็นทรัล ลาดพร้าว เป็นสองสาขาที่สร้างรายได้สูงสุดในขณะนี้

ปรับใหญ่เซ็นทรัลชิดลม

การพัฒนาเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ส่งผลให้เซ็นทรัลรีเทล ต้องปรับปรุงเซ็นทรัล สาขาชิดลมครั้งใหญ่ ซึ่งจะปรับให้เป็นห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ ที่จะแตกต่างจากห้างสรรพสินค้าเซน ในโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่จะจับกลุ่มเทรนดี้ ไลฟสไตล์เป็นหลัก โดยการปรับปรุงสาขาชิดลมจะเริ่มกลางปี 2546 และเสร็จในปี 2547

สร้างรายได้จากสเปเชียลตี้สโตร์

นายทศ กล่าวว่า สำหรับรายได้หลักของเซ็นทรัลรีเทล ยังมาจากห้างสรรพสินค้า โดยห้างเซ็นทรัล ทำรายได้ให้กว่า 40% จากรายได้รวมทั้งหมด ในขณะนี้ธุรกิจในกลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์ ไม่ว่าจะเป็น บีทูเอส เพาวเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต โฮมเวิร์คส ออฟฟิศเดโป เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราเติบโตสูงมากจากเดิมที่เคยทำรายได้ประมาณ 21% ในปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 30% และในปีหน้าคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 35% ของรายได้รวม 38,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทหันมาเน้นการขยายธุรกิจในกลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์ให้มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจของเซ็นทรัลขยายต่อไปได้ โดยล่าสุดได้ร่วมทุนกับกลุ่มไดโดมอน และสหกรุ๊ป นำร้าน 100 เยน เข้ามาเปิดในประเทศไทย โดยสินค้าภายใน้านจะจำหน่ายราคาเดียวที่ 60 บาท และเป็นสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นและประเทศใกล้เคียงทั้งหมด โดยจะใช้พื้นที่แต่ละร้านประมาณ 1,000 ตารางเมตร

ทั้งนี้ในการขยายสาขาใหม่ของห้างสรรพสินค้าและกลุ่มธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ ในปีที่ผ่านมามีรวมทั้งสิ้น 30 สาขา ประกอบด้วย เซ็นทรัล 1 สาขาที่เซ็นทรัลพลาซ่าพระราม 2 ซึ่งนับเป็นร้านใหญ่ร้านแรกของเซ็นทรัลรีเทล หลังจากเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เป็นต้นมา เพาเวอร์บายเปิด 10 สาขา ซูเปอร์สปอร์ต 4 สาขา บีทูเอส 12 สาขา โฮมเวิร์คส 2 และ ออฟฟิศเดโป 1 สาขา

ส่วนโรบินสันได้ปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สาขารัชดาซึ่งเป็นสาขาหลัก โดยมีการเปิด โฮม ยูนิเวิร์สท์ รวมเอาข้อเด่นของ 3 ธุรกิจหลักคือ โรบินสัน เพาเวอร์บาย และโฮมเวิร์คส เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอยสำหรับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเซ็นทรัลรีเเทลได้ลงทุนในเรื่องต่างๆเหล่านี้รวมทั้งสิ้น 11,000 ล้านบาท

ปรับโครงสร้างผู้บริหาร

นอกเหนือจากแผนการขยายธุรกิจแล้ว นายทศ ได้กล่าวถึงการปรับโครงสร้างผู้บริหารในกลุ่มธุรกิจใหม่ ภายหลังจากที่ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เพื่อไปรับตำแหน่งใหม่ในสยามแฟมิลี่มาร์ทว่า ได้แต่งตั้งให้นายปรีชา เอกคุณากูล จากบีทูเอส และโฮมเวิร์คส ไปเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน

นอกจากนี้ยังแต่งตั้งนายพิทักษ์ ตันพิบูลย์วงศ์ จากออฟฟิศเดโป และ เซ็นทรัลออนไลน์ ไปเป็นกรรมการผู้จัดการของโฮมเวิร์คส

นายพงศ์ ศกุนตนาค เลื่อนตำแหน่งจาก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการของ ออฟฟิศ เดโป และ เซ็นทรัล ออนไลน์ เป็นกรรมการผู้จัดการ

สำหรับบีทูเอส ได้แต่งตั้งนายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ซึ่งรับผิดชอบด้านจัดซื้อของบีทูเอสมารับหน้าที่กรรมการผู้จัดการ

“จะเห็นได้ว่าเรายึดนโยบายที่จะแต่งตั้งผู้บริหารจากบุคคลภายในก่อน โดย 2 ท่านแรกนั้นอยู่กับเซ็นทรัลรีเทลไม่ตำกว่า 10 ปีแล้ว และหมุนเวียนรับตำแหน่งอยู่ในหน่วยธุรกิจต่างๆของเซ็นทรัล ทำให้มีประสบการณ์สูง ส่วนอีกสองท่านนั้นเป็นการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไป ซึ่งแสดงให้เห็นการพัฒนาระบบบริหารที่เป็นระบบและเป็นมืออาชีพอยู่ตลอดเวลา”

เดินหน้าระบบลอจิสติก

นายทศ ได้กล่าวถึงแผนงานด้านระบบลอจิสติกว่า การค้าปลีกของเซ็นทรัลประกอบด้วยระบบซื้อขาดและฝากขาย ระบบลอจิสติกส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศไทยรวมทั้งที่ เพาเวอร์บาย จะเป็นระบบสำหรับสินค้าซื้อขาด ยังไม่มีที่ใดในประเทศไทยที่มีระบบการกระจายสินค้าสำหรับสินค้าฝากขาย

เซ็นทรัลรีเทลจึงได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาคือ McKinsey เข้ามาให้คำแนะนำ เพื่อทำให้ระบบที่เริ่มไว้พัฒนาขึ้นเป็นระบบ Supply Chain Management เต็มรูปแบบ กล่าวคือเพื่อให้การทำงานกับซัปพลายเออร์มีประสิทธิภาพ ไม่ให้สินค้าขาดจากหน้าร้าน โดยคุมให้ มีสินค้าคงคลังน้อยที่สุด ทั้งนี้เซ็นทรัลจะแลกเปลี่ยนข้อมูลและปรับระบบกับซัปพลายเออร์ เพื่อตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรต้องเสียออกจากระบบให้หมด

โครงการนี้ก็จะเริ่มดำเนินการในเร็วๆนี้ การลงทุนครั้งนี้นอกจากจะเกิดประโยชน์แก่ร้านค้าและลูกค้าโดยตรงแล้ว บริษัทฯยังเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งโดยรวมของประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้เซ็นทรัลรีเทลยังรวมศูนย์ระบบบัญชีและการเงิน ของทุกบริษัทเข้าด้วยกันและจัดตั้งเป็นหน่วย Finance and Accounting Service Team หน่วยงานนี้จะให้ความสะดวกแก่คนที่มาใช้บริการ ซึ่งได้แก่ร้านค้าและคู่ค้าของเซ็นทรัล ร้านค้าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะช่วยทำให้สะดวกขึ้น เช่น การรับเงินจากธนาคาร การตรวจสอบเวลาและการจ่ายเงินผ่านเซ็บไซต์เป็นต้น

ตั้งเป้าเติบโตปีละ 12-15%

สำหรับผลประกอบการของเซ็นทรัลรีเทลนั้น นายทศ กล่าวว่า จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลดังกล่าว เซ็นทรัลรีเทลได้ขยายกิจการและมีผลประกอบการที่เติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 38,000 ล้านบาทเติบโตจากปี2545 ถึง12% และมีการเติบโตของกำไรจากปีที่แล้ว 39% สำหรับปี 2546 นี้เซ็นทรัลรีเทลวางเป้าหมายไว้ว่าจะมียอดขาย 42,000 - 44,000 ล้านบาทหรือเติบโตขึ้น 10-15% โดยจะเปิดสาขาใหม่ไม่น้อยกว่าปี 2545 คือ 30-50 สาขา และมีการพัฒนารูปแบบของร้านให้หลากหลายยิ่งขึ้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us