จากยอดจำหน่ายรถยนต์รวมทุกยี่ห้อในปี พ.ศ.2550 ที่ผ่านมา 682,000 คัน นิสสัน ภายใต้การกำกับดูแลของนิสสันมอเตอร์ทำได้ไม่เลว เพราะสามารถก้าวขึ้นมาครองอันดับ 4 ประจำปีได้ แต่หากดูให้ละเอียดไปถึงตัวเลขการจำหน่ายจะพบว่า เป็นอันดับ 4 ที่ไม่น่าจะพึงพอใจสำหรับยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นรายนี้นัก
เพราะยอดจำหน่ายเพียงแค่ 30,625 คัน เมื่อเทียบกับอันดับหนึ่ง 289,108 คัน หรือแม้แต่เมื่อจะต้องเทียบกับอันดับ 3 คือ ฮอนด้า ที่มีรถเก๋งนั่งจำหน่ายเป็นหลักเพียงอย่างเดียวยังทำตัวเลขหนีไปได้ไกลถึง 66,633 คัน ทีเดียว แถมยังมีอันดับ 5 คือ มิตซูบิชิตามไล่หายใจรดต้นคอด้วยตัวเลข 29,624 คัน
สิ่งที่น่าเป็นกังวลสำหรับ นิสสัน คือ มิตซูบิชิ นี่เอง เพราะนอกจากตัวเลขการจำหน่ายรถยนต์รวมทุกประเภทจะใกล้เคียงกันมากต่างกันเพียงแค่หนึ่งพันคันเท่านั้น ยังกลับพบว่าตัวเลขการจำหน่ายรถเก๋งและรถอื่นๆ นอกจากปิกอัพ ทั้งที่นิสสันเปิดตัว ทีด้า ออกไปหมาดๆ ในช่วงปลายปี กลับมีตัวเลขการจำหน่ายรถยนต์เก๋งนั่งทุกรุ่นได้แค่ 6,707 คัน หมายรวมถึงทั้ง เอ็กซ์เทรล, เทียน่า, ซันนี่ และ ทีด้า เข้าด้วยกัน
ตัวเลข 6,707 คันสำหรับรถอื่นๆ นอกเหนือไปจากรถปิกอัพของ นิสสัน เมื่อเทียบกับ 4,104 คันสำหรับรถประเภทเดียวกัน แต่มิตซูบิชินั้นมีเพียงแค่ แลนเซอร์ ซีเดีย เป็นหลัก โดยที่ สเปซวากอน นั้นแทบไม่ได้มาช่วยอะไรมิตซูบิชิในด้านตัวเลขการจำหน่ายได้เลย และต้องไม่ลืมว่า แลนเซอร์ ซีเดียนั้นอยู่ในตลาดนานจนแทบจะลืมไปแล้วว่ามีการปรับปรุงครั้งสุดท้ายเมื่อใด แต่มิตซูบิชิก็ยังสามารถระดมสรรพกำลังสร้างยอดจำหน่ายได้ไม่เลวทีเดียว ทั้งที่ไม่มีรถใหม่ในโชว์รูมนี่ละ คงจะด้วยเหตุแห่งปัจจัยนี้เอง จึงทำให้เป็นที่มาของข่าวคราวการปลดขุนพลฝ่ายขายของนิสสันออกไปอย่างสายฟ้าแลบ
หักลบกลบเหลือตัวเลขรถอื่นๆ ออกไปแล้วพบว่า เฉพาะตัวเลขการจำหน่ายรถยนต์ปิกอัพ ถือว่าเป็นสินค้านำของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย นิสสันจำหน่ายฟรอนเทียร์ไปได้ประมาณ 24,000 คันในปีที่ผ่านมา ในขณะที่ มิตซูบิชิ คู่รักคู่แค้นจำหน่าย ไทรทัน ไปได้ประมาณ 25,000 คัน
โดยที่เมื่อมองไปที่ตัวเลขการจำหน่ายรถปิกอัพแล้วกลับยังพอทำความพึงพอใจให้กับนิสสันได้บ้าง เพราะแม้จะมีตัวเลขการจำหน่ายในระดับที่ตามหลังมิตซูบิชิอยู่ประมาณหนึ่งพันคัน แต่ต้องไม่ลืมว่านิสสันจำหน่ายฟรอนเทียร์ ที่เพียงแค่ปรับเครื่องยนต์เท่านั้น ในขณะที่มิตซูบิชิปีที่ผ่านมาจำหน่ายไทรทันซึ่งถือว่าสดกว่ากันมาก แถมการกล่าวขานถึงในช่วงเปิดตัวของไทรทันก็อยู่ในระดับที่ “พูดกันทั้งเมือง”
แถมฟรอนเทียของนิสสันเองยังเป็นรถที่จำหน่ายด้วยเครื่องยนต์เพียงแค่ 2500 ซีซี. เท่านั้น ทั้งที่คู่แข่งในตลาดทั้งหลายโหมสรรพกำลังเพื่อสู้กันที่เครื่องยนต์นาด 3000 ซีซี. และโฉมหน้าของฟรอนเทียที่นิสสันจำหน่ายอยู่ก็มีการปรับปรุงน้อยมาก อีกทั้งในช่วงที่จำหน่ายอยู่นั้น นิสสันเองก็ออกข่าวเพื่อทำการชะลอการซื้อในส่วนของคู่แข่งตลอดเวลาว่าให้รอนิสสัน นาวาร่า ใหม่ที่จะออกตามมาต้นปีนี้ (พ.ศ.2550)
แน่นอนว่าผลกระทบที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดการชะลอการซื้อรถใหม่ นอกจากจะไปเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นลูกค้ายี่ห้ออื่นแล้ว กลุ่มลูกค้าของนิสสันที่ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความภักดีต่อตราสินค้าสูงกลุ่มหนึ่ง ย่อมชะลอการซื้อนิสสัน ฟรอนเทียร์ ออกไปด้วย ตัวเลขที่จำหน่ายได้ในปีที่ผ่านมาจึงเป็นที่ตัวเลขที่ควรพึงพอใจ
แม้ว่าหากไปเทียบตัวเลขการจำหน่ายของสองอันดับนำคือ อีซูซุ และ โตโยต้า ที่จำหน่ายรถปิกอัพกันได้อยู่ที่ตัวเลขรายละประมาณ 180,000 คัน แล้วยังห่างไกลก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมเช่นกันว่าการรบกันของสองผู้นำในปีที่ผ่านมา รุนแรงและใช้กำลังพลทั้งหมดเท่าที่มีในมือออกมาต่อสู้กัน จนเกิดผลกระทบแผ่กระจายเป็นคลื่นในวงกว้าง อันมีส่วนหนึ่งที่กระทบกับยอดจำหน่ายของ นิสสัน ด้วยแน่นอน
ถ้าดูเพียงตัวเลขเท่าที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า จุดที่ นิสสัน ควรปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่หลวงน่าจะอยู่ที่กองทัพหนุนฝ่ายรถเก๋ง เพราะแม้จะหันหน้าไปดูอันดับ 6 ของยอดจำหน่ายรวมในปีที่ผ่านมาคือ เชพโรเลต ที่มีการเปิดตัวรถเก๋งขนาดเล็ก อาวีโอ้ ออกไป แต่ก็ทำตัวเลขจำหน่ายรถเก๋งได้เพียงแค่ 7,772 คัน ซึ่งรวมเอาตัวเลขของ ออพตร้าเข้าไปด้วย หักลบกลบเหลือแล้วดูไม่ดีไปกว่า นิสสัน เท่าใดนัก
แต่หากเทียบเคียงแรงจูงใจในการซื้อ ความภักดีต่อตราสินค้า และองค์ประกอบรวมแล้ว นิสสัน น่าจะหนีไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ จึงน่าจะมีการทบทวนตรวจสอบดูว่า กลยุทธ์ต่างๆรวมไปถึงการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ และยุทธวิธีทางการตลาดมีอะไรผิดพลาดไปหรือไม่ จึงทำให้ตัวเลขของการจำหน่ายรถเก๋งของ นิสสัน ที่มีรถใหม่ออกสู่ตลาดแท้ๆกลับไม่งดงามเท่าใดนัก
เปิดศักราชปี พ.ศ.2550 ขึ้นมา นิสสัน ที่มีข่าวร้อนเกี่ยวกับการปลดพนักงานระดับสูง ที่หลุดออกมาจากปากของบุคลากรภายในองค์กร นิสสัน เองว่า เป็นการปลดเพื่อเซ่นตัวเลขการจำหน่ายของ นิสสัน ทีด้า และเป็นการปลดในลักษณะที่แทบจะเรียกได้ว่า เป็นคำสั่งแรกของการเข้ามาประจำหน้าที่ประธานบริหารใหม่ที่เพิ่งก้าวลงมาจากเครื่องบินทีเดียว
ในช่วงเวลาเดียวกัน นิสสัน ก็เปิดตัวรถกระบะที่ปล่อยให้คนรอเสียนาน นั่นคือ กระบะ นาวาร่า ใหม่ และแทนที่ในช่วงเวลาของการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างนี้ ซึ่งเทียบเคียงกันได้กับการตั้งค่ายคูประตูรบเพื่อเตรียมทำศึกกับบรรดาคู่แข่งทั้งหลาย นิสสัน จะรัวกลองศึกด้วยการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเหล่าทหารทุกระดับ
แต่ข่าวคราวที่หลุดลอดออกมาทุกวัน กลับมีแต่ข่าวกรุ่นของควันสงครามภายใน การปรับกลยุทธ์การเปิดตัวอย่างกะทันหัน การเลือกวิธีการและสถานที่ในการเปิดตัว นาวาร่า ถูกจับตามองว่ากำลังเกิดอะไรกับยุทธวิธี เพราะการเลือกเอาโรงแรมที่เป็นตำนานของความหรูหราใจกลางกรุงระดับ โอเรียนเต็ล เป็นที่จัดงานเลี้ยงเพื่อแนะนำรถ นาวาร่า และการเปิดตัวเพื่อให้เป็นข่าวซ้ำซ้อนโดยไม่มีประเด็นข่าวที่น่าสนใจ ทำให้ กลยุทธ์ ของ นิสสัน กลายเป็นกลยุทธ์ที่ถูกเฝ้าระวังด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง
ท้ายที่สุดเมื่อมีการปลดฝ่ายประชาสัมพันธ์กันอีกครั้งหนึ่ง บรรดานักกลยุทธ์ทั้งหลายจึงหันมามอง นิสสัน ด้วยความแปลกใจ เพราะเป็นที่ทราบกันดีในกลการศึกของนักรบตะวันออกทั้งหลายว่า การ “เปลี่ยนม้ากลางลำธาร เปลี่ยนขุนทหารกลางสนามรบ” เป็นเรื่องต้องห้ามเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่นอกจากจะบั่นทอนขวัญและกำลังใจพวกเดียวกันเองแล้ว ยังเป็นสิ่งที่สร้างความฮึกเหิมให้กับคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
นิสสัน ในช่วงเวลาที่เปิดตัวสินค้าใหม่ด้านรถเก๋งไปหมาดๆ และสร้างตัวเลขที่ไม่น่าพึงพอใจจนถึงคนระดับประธานต้องเปรยออกมากับผู้สื่อข่าวในทำนองว่า “ผิดหวัง” และในช่วงเวลาที่เปิดตัวสินค้ารถยนต์ที่มีการต่อสู้กันรุนแรงที่สุดสำหรับตลาดประเทศไทย และผู้นำในตลาดมีความแข็งแกร่งมากที่สุด กลับมีข่าวปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงตามมาอย่างนี้
ทำให้ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ประธานใหม่ของ นิสสัน ที่เป็นชาวตะวันตกแต่มาลุยตลาดสินค้าและผู้บริโภคที่เป็นตะวันออก จะมีกลยุทธ์ทีเด็ดอะไรออกมาเพื่อกู้สถานการณ์และฟื้นสภาพของ นิสสัน ให้หนีไกลคู่แข่งอย่าง มิตซูบิชิ และ เชพโรเลต ออกมาให้ได้ ยอดจำหน่ายของเดือน มีนาคม 2550 คงจะเป็นผลงานที่รอการพิสูจน์ เพราะอย่างน้อยคงต้องให้เดือนกุมภาพันธ์ที่เหลือ เป็นช่วงเวลาของการปรับกระบวนทัพครับ
|