Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน4 มีนาคม 2546
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยายฐานลงล่าง             
 


   
search resources

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บมจ.
กฤษดามหานคร, บมจ.
Real Estate




แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปรับโฟกัสการตลาด เพิ่มสัดส่วนบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้าน จาก 13% เป็น 25% รองรับลูกค้าระดับกลางที่เริ่มฟื้นตัว ส่วนผลประกอบการปีที่ผ่านมาฟันกำไรเพิ่ม 146% ด้านกฤษดามหานครแจงยังขาดทุนเพราะปรับหนี้ไม่แล้วเสร็จ

นายอนันต์ อัศวโภคิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปีนี้ว่า มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 15 โครงการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 22,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนยูนิต ประมาณ 4,000 ยูนิต โดยปีที่แล้วบริษัทส่งมอบบ้านให้ลูกค้าประมาณ 2,800 ยูนิต ส่วนในปีนี้จะส่งมอบเพิ่มอีก 20-25% โดยทุกๆ เดือนจะมีบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายในมือ 250-300 ยูนิต เพิ่มสัดส่วนบ้าน 3 ล้านลงมา

ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ากลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ได้มุ่งกวาดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อบ้านเดี่ยวในระดับ ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปมาโดยตลอด แต่มาในปีนี้ ทางแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ก็ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า โครงสร้างด้านราคาของสินค้าจะมีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ในแง่ของจำนวนยูนิตที่มีการส่งมอบให้ ลูกค้า

โดยในปี 2545 บริษัทมีบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดที่โอนกรรมสิทธิ์ ส่วนที่เหลือเป็นบ้านราคา 3 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 20 ล้านบาท ขณะที่ในปีนี้นั้น บ้านในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะเพิ่มสัดส่วน เป็น 25% สำหรับบ้านราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปจะมีสัดส่วนราว 40% ส่วนอีก 35% คือบ้านที่มีระดับราคาระหว่าง 3-5 ล้านบาท

จากการหันมาโฟกัสที่บ้านหลังเล็กลงมากขึ้น ในครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ได้ว่าตลาดบ้าน ระดับบนความต้องการเริ่มจะคลายตัวลงแล้ว หรือใกล้ถึงจุดอิ่มตัว ขณะที่บ้านราคา 2.5-3 ล้านบาท เริ่มกลายเป็นตลาดดาวรุ่งที่ฟื้นต่อเนื่องจากกำลังซื้อระดับบน เนื่องเพราะปัจจัยด้านดอกเบี้ยที่อยู่ใน ระดับต่ำ ส่งผลให้ผู้บริโภคที่เคยซื้อบ้านในราคาล้านปลายๆ สามารถขยับกำลังซื้อมาเป็นบ้านราคา 2 ล้านกว่าได้ไม่ยากนัก

"ในจำนวนโครงการใหม่ที่เปิดตัวมี 12 โครงการ ที่พัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว สำหรับกลุ่มเป้าหมายระดับราคาตั้งแต่ 2.5 - 10 ล้านบาท ส่วนอีก 3 โครงการเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ระดับราคาเริ่มต้น ที่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่ดำเนินงานอยู่ 26 โครงการ ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ 20 โครงการ" นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ LH กล่าวเสริม

คาดตลาดบ้านเดี่ยวโตได้อีก 30%

นอกจากนั้นนายอนันต์ยังได้กล่าวถึงภาพรวมของภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมาว่า หากพิจารณาจากจำนวนที่อยู่อาศัยจดทะเบียนเพิ่มในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า ตัวเลขแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย โดยปี 2544 มีการจดทะเบียน 34,023 ยูนิต ขณะที่ ปี 2545 มีการจดทะเบียน 34,035 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นแค่ 0.04% เท่านั้น

สำหรับสาเหตุที่ตัวเลขโดยรวมที่ขยับขึ้นไม่มากถ้าพิจารณารายละเอียดจะพบว่าเป็นเพราะตลาด อาคารชุดที่หดตัวลงอย่างมากถึง 58% แต่ทาวน์เฮ้าส์จัดสรรและบ้านเดี่ยวจัดสรรเติบโตขึ้น 51.41% และ 48.29% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ในส่วนของบ้านจัดสรรมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.6% คือมีการจดทะบียนรวม 16,342 ยูนิต ซึ่งคิดเป็น 11.6% ของตัวเลขจัดสรรจดทะเบียนของปีที่เติบโตสูงสุด

"ตัวเลขอาคารชุดที่ตกลงไปมากมีสาเหตุหลักมาจากอาคารชุดที่เหลือส่วนใหญ่เป็นยูนิตขนาดเล็ก สำหรับผู้มีรายได้น้อย ราคาต่ำกว่า 5 แสนบาท ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะยื่นขอกู้สินเชื่อจากแบงก์ และนี่เป็นคำตอบที่ว่าทำไมถึงมีคนแห่ไปจองบ้านเอื้ออาทรของการเคหะฯเป็นจำนวนมาก"

ดังนั้น ตลาดในปีนี้ยกเว้นอาคารชุดราคาถูกน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าตลาดบ้านเดี่ยวน่าจะเติบโตได้อีกอย่างน้อย 30% แต่อุปสรรคใหญ่ของธุรกิจคงหนีไม่พ้นเรื่องวัสดุก่อสร้างขึ้นราคา อันมีสาเหตุมาจากต้นทุนที่แท้จริงและกระแสความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าขณะนี้กำลังการผลิตจะใช้ยังไม่เต็มที่ก็ตาม

นอกจากนี้ ปัญหาด้านการขนส่งและแรงงาน จะเป็นข้อจำกัดที่ส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า ประกอบกับปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือ ในส่วนของมาตรการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียม ผู้ประกอบการทุกค่ายจึงต้องแข่งกันสร้างให้ทัน เพราะปีก่อนรับจองไว้จำนวนมาก

ปีนี้วางงบลงทุน 4 พันล้าน

นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการ ผู้จัดการ LH ชี้แจงถึงงบลงทุนในปีนี้ว่า ได้เตรียมเม็ดเงินไว้ทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาในปี 2547 เป็นจำนวนอย่างน้อย 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยเงินลงทุนทั้งหมดจะมาจากกระแสเงินสดที่ได้รับจากการดำเนินงานปกติ

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2545 LH มีกำไร 3,820.12 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิจำนวน 1,551.32 ล้าน บาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,268.80 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 146.25%

เนื่องจากยอดขายจากการโอนบ้านที่สูงขึ้นจากปีก่อน 45% หรือมียอดขาย 15,103 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากเงินกู้ที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลงกว่าปีก่อนทำให้ดอกเบี้ยจ่ายน้อยลงจำนวน 200 ล้านบาท

ประกอบกับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายของบริษัทและบริษัทย่อยลดลงมากเมื่อเทียบกับ ทั้งอุตสาหกรรม คือเเหลือเพียงร้อยละ 7.6 ของยอดขายในปี 2545 โดยลดลงจากระดับร้อยละ 9.4 ของยอดขายในปี 2544

อีก 2 ปีใช้หนี้ธนาคารหมด

ฐานะทางการเงินในรอบปีที่ผ่านมาบริษัทได้คืนเงินกู้กว่า 2,200 บาท และส่วนของผู้ถือหุ้น ได้เพิ่มขึ้นกว่า 5,000 ล้านบาท ทำให้สัดส่วน หนี้สินต่อทุนลดลงจาก 0.73:1 มาอยู่ที่ 0.40:1 เมื่อสิ้นปี 2545

"ในปีนี้เรามีแผนที่จะคืนหนี้แบงก์อีก 2,000 - 3,000 ล้านบาท นั่นเท่ากับว่าอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทแทบจะไม่มีหนี้สถาบันการเงินเหลืออีกเลย สำหรับโครงสร้างของเงินกู้ปัจจุบันบริษัทพึ่งพาตลาดทุนมากขึ้นเป็น 60% จากที่มีสัดส่วนของเงินกู้ 63% ก็จะเหลือ40% จากเงินกู้ทั้งหมด 6,000 ล้านบาท" นายอดิศรกล่าว

KMCแจงเริ่มมีกำไร จากการดำเนินงาน

ด้านนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในปีที่ผ่านมาว่า มีผลขาดทุนสุทธิ 1,316 ล้านบาท ทั้งนี้มีสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ 1.ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังไม่ได้ลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ 2 รายสุดท้าย คือบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) และธนาคารกรุงไทย ทำให้บริษัทยังคงต้องบันทึกภาระดอกเบี้ยจ่ายจำนวนกว่า 300 ล้านบาท โดยคาดว่าจะลงนามได้ภายในเดือนมี.ค.นี้

2.บริษัทได้ยกเลิกสัญญากับลูกค้า จำนวน 20 ราย ที่ไม่ได้รับโอนสินค้าที่สร้างเสร็จแล้ว จำนวน 932 ล้านบาท และ 3.บริษตั้งสำรองในส่วนของมูลค่าที่ดินที่ได้รับการประเมินใหม่เพิ่มขึ้นอีก 141 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น

"ดังนั้น เมื่อนำรายการพิเศษต่างๆ มาลบ ด้วยยอดขาดทุนสุทธิ จะเป็นกำไร 136.777 ล้านบาท ซึ่งในงบปีนี้ ส่วนที่สำรองไว้จะกลับมาทันที 1,453 ล้านบาท และเรายืนยันว่ารายได้ในปีนี้จะรับรู้ได้ มากกว่า 1,500 ล้านบาท อย่างแน่นอน" นายรัชฎากล่าว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us