|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งของรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ที่ชื่อปรีดิยาธร เทวกุล แบบสายฟ้าแล่บก่อนเที่ยงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 หากดูผิวเผินคงเป็นข่าวร้ายที่สร้างความตื่นตระหนกและกระเทือนรัฐบาลสุรยุทธ์ แต่หากยึดจากผลงานที่ผ่านมาเป็นหลัก จะพบว่า การไม่มี ม.ร.ว.ปรีดิยาธรร่วมรัฐบาล ยิ่งดีกว่า เพราะความเสียหายของชาติจะไม่บานปลายไปมากกว่าที่ผ่านมา...
ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาไม่ถึง 5 เดือน เศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้การกำกับดูแลของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเศรษฐกิจเจ๊งไปแล้ว 1 ล้านล้านบาท!!!
เป็นความเสียหายที่เกิดจากการที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นลดลงวันเดียว 8.2 แสนล้านบาท และการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการแทรกแซงค่าเงินบาทอีก 1.73 แสนล้านบาท ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ผู้บริหารในกระทรวงการคลังให้ภาพย่อผลงาน ม.ร.ว.ปรีดิยาธรในช่วงที่ผ่านมาว่า "การออกมาตรการกันสำรองเงินนำเข้า 30% กับการแทรกแซงค่าเงินบาทสมัยเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติต่อเนื่องมาถึง รมว.คลัง ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำที่คุณชายอุ๋ยไม่อาจปฏิเสธ ทว่าไม่เฉพาะด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ด้านการเมืองคุณชายอุ๋ยเป็นนักการเมืองตัวยง เห็นได้ว่ามาตั้งแต่รัฐบาลสุรยุทธ์ยังไม่ตั้งไข่ ไม่ว่าล๊อบบี้โผ ครม.หรือปล่อยข่าวโผส่วนตัวผ่านสื่อมวลชนหรือการพูดคุยกับนายกฯ คนเดียว ไม่เห็นหัวรัฐมนตรีคนอื่น ส่วนด้านสังคมยิ่งชัดเจนเรื่องหวยบนดิน แม้ยังผลักดันให้หวยบนดินกลับมาไม่ได้ แต่สร้างแรงกระเพื่อมให้ประชาชนระดับล่างมองว่าหวยบนดินเป็นสิ่งถูกต้อง เพราะคนระดับรัฐมนตรียังสนับสนุน จนมีม๊อบสนับสนุนมาที่กระทรวงการคลังไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งในรอบ 4 เดือน ที่คุณชายอุ๋ยเป็นรัฐมนตรีคลัง"
**บทถนัดต้องมีวาระซ่อนเร้น
หลังการท่องนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงตามที่ พล.อ.สุรยุทธ์ได้วางแนวทางในการบริหารประเทศไว้ การออกมาตรการกันสำรองเงินนำเข้า 30% ได้ถูกวางแผนไว้อย่างแยบยลอิงแอบเศรษฐกิจพอเพียง เพราะหากชำแหละมาตรการ 30% พบว่า นำไปสู่เหตุการณ์ “อังคารทมิฬ” เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เป็นประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมา 33 ปี มีคนได้กำไรจากตลาดหุ้นวันเดียว 5 พันล้านบาท เป็นจำนวนเงินที่สามารถใช้เป็นทุนตั้งพรรคการเมืองได้
"ดัชนีการซื้อขายหุ้นไทยวันนั้นปรับตัวลดลงมากที่สุดถึง 108.41 จุดและต้องใช้ระบบพักการซื้อขายอัตโนมัติถึง 2 ครั้งโดยดัชนีหุ้นลดลงต่ำสุดถึง 142.63 จุด ปริมาณการซื้อขายในวันนั้นสูงถึง 72,131.55 ล้านบาท มองผิวเผินเหมือนกับการพยุงค่าเงินและลดความสำคัญของเงินทุนต่างชาติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง แต่กลับมีข้อสงสัยในผลประโยชน์จากการขึ้นลงของดัชนีมูลค่ามหาศาล การซื้อขายหุ้นจากกลุ่มนักลงทุนที่ล่วงรู้ข้อมูลล่วงหน้าจากผู้มีอำนาจวันเดียว 3 รอบ กำไร 5 พันล้าน โหดร้ายมากเมื่อแลกกับการขาดทุนของนักลงทุนรายย่อยกว่าหมื่นล้าน และส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงถึง 8 แสนล้าน"
วาระซ่อนเร้นเพื่ออำพรางดังกล่าวพิสูจน์ชัดว่า นอกจากการมีกลุ่มใกล้ชิดผู้มีอำนาจช่วยกันทำกำไรจากตลาดหุ้นแล้ว ยังหวังผลให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าไปกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ โดยอ้างว่าช่วยเหลือผู้ส่งออกทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์หลักเพื่อกลบความเสียหายในการใช้เงินบาทแทรกแซงค่าเงิน โดยการเข้าซื้อดอลลาร์ตลอดทั้งปี 2549 ปรากฏว่าผลการดำเนินงานของแบงก์ชาติปี 2549 มีผลขาดทุน 1.73 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขที่เกิดจากการบริหารทุนทำหน้าที่ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเมื่อปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงตำแหน่ง รมว.คลัง ในช่วงปลายปี
**กม.ต่างด้าว...มาตรการซ้ำเติม ศก.
ต้องยอมรับว่าหลัง การยึดอำนาจการปกครองรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่ภายหลังได้แปรสภาพมาเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ม.ร.ว.ปรีดิยาธรมีรัศมีเปล่งประกายถึงขนาดเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รัศมีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการวางแผนโดยใช้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือบวกกับความเป็นมืออาชีพในการสร้างภาพและโหนกระแสสังคม
หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ม.ร.ว.ปรีดิยาธรจึงได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ.สุรยุทธ์และ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ประธาน คมช.ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เพื่อดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ จนได้
ทว่าภายหลัง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีคำสั่งแต่งตั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกำชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่ออกเดินสายชี้แจงทำความเข้าใจ ให้เกิดความสมานฉันท์เกิดความเชื่อมั่นขึ้นทั้งในและต่างประเทศเมื่อเดือนที่ผ่านมา เกิดคำถามจากหลายฝ่ายขึ้นมาว่าเหตุใดจึงดึงคนในระบอบทักษิณเข้ามาร่วมงานด้านเศรษฐกิจด้วย
ข้อกังขาขึ้นนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเกิดความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร...
ผลงานของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ที่เป็นผลกระทบมาจากการซื้อกิจการในเครือชินคอร์ปของกลุ่มเทมาเส็กที่มีการใช้คนไทยถือหุ้นแทนหรือนอมินี ทำให้บริษัทต่างชาติที่มีกิจการในประเทศไทยเกิดความกังวลและทวงถามความชัดเจนจากรัฐบาลไทย สร้างความระส่ำต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ พล.อ.สุรยุทธ์ดึงนายสมคิดเข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกำชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งๆ ที่ควรจะเป็นหน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรีที่ดูด้านเศรษฐกิจโดยตรงเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาโดยเร็ว
เพราะการออกกฎหมายต่างด้าวครั้งนั้น ทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์ต้องลงมือแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยตัวเอง โดยไปแสดงปาฐกถาต่อผู้แทนหอการค้าต่างประเทศและเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ กว่า 700 คน
**หวยบนดิน...ถึงขวางปราบโกง
การผลักดันหวยบนดินต้องขยายความอย่างยิ่ง เพราะสลากเลขท้ายแบบ 3 ตัว 2 ตัว หรือหวยบนดิน เป็นมรดกบาปในสังคมที่ตกทอดมาจากรัฐบาลทักษิณ ที่ยังวุ่นวายหาทางออกไม่ได้
เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าการออกหวยบนดินนั้นผิดกฎหมาย ม.ร.ว.ปรีดิยาธรก็พยายามผลักดันให้ถูกกฎหมายให้ได้เพราะคนไทยกว่า 30 ล้านคนนั่งใจจดใจจ่อรอรัฐบาลขิงแก่ผลักดันให้หวยบนดินผ่านสภาให้ได้
ครั้งแรกที่เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ม.ร.ว.ปรีดิยาธรต้องรีบถอนกฎหมายดังกล่าวแทบไม่ทันเพราะโดน สนช.ถล่มยับหวั่นจะเป็นการล้างมลทินให้กับรัฐบาลทักษิณได้ แต่ก็ยังไม่ละความพยายามได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความแล้วปรากฎว่าไม่เป็นการล้างมลทินและรอโอกาสผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.อีกครั้ง
นอกจากนี้ ตั้งแต่เข้ามารับหน้ากุนซือเศรษฐกิจ ก็เริ่มปกป้องนายศิโรมต์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร ในคดีทักษิณเลี่ยงภาษี ว่าไม่ผิด ต่อมานายศิโรตม์ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้ว่ามีความผิดทางอาญา ประพฤติชั่วร้ายแรง นอกจากนี้ยังมีเรื่องขัดแย้งกับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้แก่กรณีคุณหญิงจารุวรรณ ได้ส่งหนังสือไปยังประธาน คมช.และนายกรัฐมนตรี กรณีผู้บริหารกระทรวงการคลัง 14 ราย นั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจเกินกว่า 3 แห่ง เป็นการกระทำที่ขัดต่อต่อมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2523 ม.ร.ว.ปรีดิยาธรถึงกับลมออกหูประกาศตัดพ้อคุณหญิงจารุวรรณว่าไม่ยอมโทรศัพท์มาคุยกับเขาโดยตรงเสมือนเป็นการกระทำที่ทำให้เขาเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง และได้ออกมาแก้ต่างว่าตำแหน่งต่างๆ ในรัฐวิสาหกิจนั้นเป็นการรับตามที่กฎหมายกำหนดหากไม่รับก็อาจมีความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้
ไม่พอแค่นั้น เกี่ยวกับกรณีที่ คตส.ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาอดีตนายกร่วมประมูลซื้อที่ดินแปลงติดกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถนนเทียมร่วมมิตร จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน สมัยที่ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 มีพฤติการณ์เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรก็ยืนยันว่าการซื้อขายที่ดินครั้งนั้นถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน
วันนี้ คตส.ส่งศาลให้ดำเนินคดีที่ดินรัชดาฟากผู้ซื้อคือทักษิณและภรรยาไปแล้ว 2 กระทง ส่วนฟากผู้ขายคือกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ในขณะนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเป็นประธาน คตส.ยังไม่จับขึ้นเขียง
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของผลงาน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร...
การตัดสินใจลาออกและการทิ้งบอมบ์รัฐบาล ในแบบฉบับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรครั้งนี้ น่าจะทำให้ พล.อ.สุรยุทธ์เห็นตัวตนและธาตุแท้ของรุ่นน้องเซ็นต์คาเบรียล ผู้ไต่เต้ามาจากอาชีพนายธนาคารว่า ช่างแตกต่างกับนายทหารสุภาพบุรุษนักรบ ยิ่งนัก
"ที่ (ลา) ออกมา รู้สึกว่ามีการปิดบังซ่อนเร้น คือมันไม่สมจริง ถ้าสมจริงต้องเอาดอกเตอร์สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา มาชี้แจงเศรษฐกิจพอเพียง คงสมจริง" 1ในคำพูดของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรที่ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ลาออก วานนี้ (28 ก.พ.) นี่แหละคุณชายอุ๋ยตัวจริง
|
|
|
|
|