"คิวเฮ้าส์" โตสวนกระแสยันบ้านแพงยังขายได้ หลังโชว์ผลประกอบการปี 49 รายได้ 11,057 ล้านบาท โต 37.5% กำไร 1,007 ล้านบาท ส่วนแสนสิริรายได้ 11,482 ล้านบาท แต่กำไรวูบเหลือ 404 ล้านบาท เหตุต้นทุนบริหารการขายเพิ่ม เพื่อฉุดยอดขาย พร้อมตั้งทัช พร็อพเพอร์ตี้บริษัทในเครือพลัส ลุยธุรกิจบริหารงานขาย - ตรวจสอบอาคาร
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ คิวเฮ้าส์ ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานในปี 2549 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 11,057 ล้านบาท โต 37.5% จากปี 2548 ที่มีรายได้ 8,042 ล้านบาท รายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินในปี 2549 บริษัทและบริษัทย่อยได้เปิดขายโครงการบ้านพร้อมที่ดินใหม่จำนวน 9 โครงการมูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 9,850 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการที่เปิดในบริษัทจำนวน 4โครงการ มูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 5,300 ล้านบาท และโครงการที่เปิดโดยบริษัทย่อยจำนวน 5 โครงการมูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 4,550 ล้านบาทนอกจากนี้ได้ซื้อและวางเงินมัดจำซื้อที่ดินจำนวน 19 แปลง เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 3,200 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของปี 2549 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2548 จำนวน 233.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.3 ซึ่งเกิดจากภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมโอนบ้านห้องชุดพักอาศัยที่เพิ่มขึ้นตามยอดโอนจำนวน 52.9 ล้านบาท และภาษีธุรกิจเฉพาะที่เกิดจากการขายอาคารและสิทธิการเช่าที่ดินโครงการคิวเฮ้าส์ ลุมพินีจำนวน 160.5 ล้าน ค่าใช้จ่ายการขายและตลาดลดลงจำนวน 22.8 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจำนวน 42.4 ล้านบาท เนื่องจากการเปิดโครงการคิวเฮ้าส์ ลุมพินี เมื่อต้นปี 2549 และโครงการเซ็นเตอร์พอยท์ สุขุมวิท ทองหล่อ ที่เปิดดำเนินการในไตรมาส 3 ของปี
ส่วนกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 1,007 ล้านบาท โต 22.4% จากปี 2548 ที่มีกำไร 823 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของปี 2549 เพิ่มขึ้นจำนวน 89.6 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2548 กำไรจากการขายอาคารและโอนสิทธิการเช่าที่ดินโครงการคิวเฮ้าส์ ลุมพินี.ให้แก่กองทุนรวมสุทธิจำนวน 1,283.3 ล้านบาท หลังจากหักค่าเผื่อหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากการประกันกำไรสุทธิของโครงการคิวเฮ้าส์ ลุมพินีจำนวน 72.2 ล้านบาท และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะจำนวน 160.5 ล้านบาท, รายได้จากส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน)จากเงินลงทุนในบริษัทร่วมในปี 2549 ลดลงจำนวน 144.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2548
นอกจากนี้บริษัทยังมีภาระดอกเบี้ยจ่ายในปี 2549 เพิ่มสูงขึ้นจำนวน 185.8 ล้าน เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2548 เนื่องจากโครงการอาคารสำนักงานให้เช่า คิวเฮ้าส์ ลุมพินีได้เปิดดำเนินการแล้ว ซึ่งต้องบันทึกต้นทุนเงินกู้ยืมเป็นดอกเบี้ยจ่ายทั้งจำนวน และเนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามภาวะอัตราดอกเบี้ยตลาดซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างต้น, บริษัทมีภาษีเงินได้นิติบุคคลของปี 2549 เพิ่มขึ้นจำนวน 859.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2548 เนื่องจากผลขาดทุนสะสมทางภาษีได้ใช้หมดในปี 2548 และมีภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดจากการขายอาคารและโอนสิทธิการเช่าให้แก่กองทุนรวม
ต้นทุนขายรวมของปี 2549 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2548 จำนวน 1,500.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.5% เนื่องจาก 1.ต้นทุนขายบ้านพร้อมที่ดินเพิ่มสูงขึ้นตามยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นรวมทั้งค่าวัสดุก่อสร้างและต้นทุนค่าพัฒนาโครงการเพิ่มสูงขึ้นด้วย, 2.ต้นทุนขายหน่วยในอาคารชุดพักอาศัยเพิ่มขึ้นตามยอดโอนขายหน่วยในอาคารชุดพักอาศัย, 3.ต้นทุนค่าเช่าและค่าบริการอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปิดโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าใหม่ คือ โครงการคิวเฮ้าส์ ลุมพินี, 4.ต้นทุนค่าเช่าและค่าบริการอาคารที่พักอาศัยให้เช่าที่เพิ่มขึ้น นื่องจากการเปิดดำเนินการเต็ม ปี 2549 ของโครงการเซ็นเตอร์ พอยท์ ทองหล่อ ที่เปิดดำเนินการในไตรมาส 3 ของปี 2548 รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของภาษีโรงเรือน และต้นทุนค่าไฟฟ้า
แสนสิริกำไรวูบเหลือ404ล้าน
นายวันจักร์ บุรณศิริรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทตามงบการเงินประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 11,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2548 ที่มีรายได้ 10,517 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 404 ล้านบาท ลดลง 55% จากปี 2548 ที่มีรายได้ 903 ล้านบาท
สำหรับกำไร ที่มีการเปลี่ยนแปลงถึง 55% นั้น เนื่องจากมูลค่าของรายได้ในงวดไตรมาสที่ 4 ลดลงประมาณร้อยละ 7 คงเหลือ 3,258 ล้านบาท ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรเบื้องต้นยังคงอยู่ในระดับเดิม แต่อัตราส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ความพยายามดังกล่าวในการผลักดันปริมาณของมูลค่าขายให้เพิ่มขึ้นตลอดเวลาภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน มีความผันผวนในปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ส่งผลสำเร็จทำให้มูลค่าขายเพิ่มขึ้นประมาณ 1.8 เท่าของปีก่อนหน้า เหตุดังกล่าวจึงเป็นประเด็นที่สำคัญอันส่งผลให้กำไรของบริษัทและบริษัทย่อยเปลี่ยนแปลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเกินกว่าร้อยละ 20
นอกจากนี้บริษัทยังได้อนุมัติให้ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หรือ Plus ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่แสนสิริถือหุ้น 100% ของทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว ลงทุนจัดตั้งบริษัท ทัช พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โดย Plus ถือหุ้นในสัดส่วน100% ของทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว (ซึ่งนับเป็นบริษัทที่แสนสิริถือหุ้นโดยทางอ้อม)
โดยทัช พร็อพเพอร์ตี้ จะดำเนินธุรกิจตรวจสอบอาคาร, นายหน้า, บริหารงานขาย, บริหารจัดการอาคาร และหมู่บ้าน ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ทุนชำระแล้ว 2 ล้านบาท โดยเม็ดเงินดังกล่าวเป็นเงินทุนหมุนเวียนของ Plus
|