บิ๊กซียังลองผิดลองถูก 2 รูปแบบค้าปลีก ร้านลีดเดอร์ไพร้ซและร้านมินิบิ๊กซี อ้ำอึ้งไม่กล้าฟันธงยุบหรือไม่ยุบ ยังอยู่ระหว่างการศึกษา เผยปี 2550 อัดงบลงทุน 4,500 ล้านบาท ผุดเพิ่ม 4 สาขาพร้อมรีโนเวทสาขาเก่า ส่วนปีที่แล้วโกยรายได้เฉียด 5.9 หมื่นล้านบาท กำไร 2 พันล้านบาท
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง การลงทุนธุรกิจในส่วนของร้านแบรนด์ ลีดเดอร์ไพร้ซ์ และร้านมินิบิ๊กซี ว่า ปัจจุบันธุรกิจทั้งสองรูปแบบนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและทดลองตลาด ยังไม่มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด
โดยในส่วนของร้านลีดเดอร์ไพร้ซ์นั้น ได้ทำการเปิดร้านมาแล้วประมาณ 5 ปี ปัจจุบันมีสาขาจำนวน 5 แห่ง เช่นที่ วงเวียนใหญ่ สุขุมวิท เป็นต้น ซึ่งจำหน่ายสินค้าเฮาส์แบรนด์เฉพาะของบิ๊กซีเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาผลประกอบการก็อยู่ในระดับที่ยังไม่น่าพอใจเท่าใด แต่บริษัทฯก็ยังคงทำการศึกษาอยู่ต่อไปว่าจะทำอย่างไร ล่าสุดเตรียมที่จะเปิดตัวสินค้าเฮาส์แบรนด์ในกลุ่มเสื้อผ้ารับช่วงซัมเมอร์นี้
ขณะที่ร้านมินิบิ๊กซีนั้น เปิดสาขาแรกไปแล้วที่ซอยอุดมสุข สุขุมวิท 103 เมื่อประมาณปีที่แล้ว เป็นตึกแถว 2 คูหา ประมาณ 300-400 ตารางเมตร มีเพียงสาขาเดียว ซึ่งที่ผ่านมาการทำตลาดรูปแบบนี้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในเรื่องของการทำราคา ที่จะต้องเล่นเรื่องราคาถูก
อย่างไรก็ตาม นางสาวจริยา ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า จะลงทุนทำต่อทั้งสองแบรนด์นี้หรือไม่หรือจะเลิกทำสำหรับแผนการลงทุนในปี 2550 นี้
บริษัทฯตั้งงบประมาณลงทุนไว้รวม 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็น งบลงทุนเปิดสาขาใหม่ 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วย สาขาลำพูน สาขาหางดงเชียงใหม่ สาขาสมุยสุราษฎร์ธานี สาขาชลบุรี ซึ่งจะทำให้บิ๊กซีมีสาขารวมทั้งสิ้นในปีนี้ เป็น 53 สาขา เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มี 49 สาขา
ส่วนงบประมาณในการรีโนเวทสาขาเดิมนั้นตั้งไว้ 1,500 ล้านบาท เพื่อให้มีภาพลักษณ์ใหม่ทันสมัยและดึงดูดลูกค้าได้ เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกนี้จะต้องมีการรีโนเวทใหม่ตลอดเวลา ขณะที่งบการตลาดปีนี้ตั้งไว้ประมาณ 10% จากยอดขายรวม โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านยอดขายรวมปีนี้ไว้ที่ 10% ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
ขณะเดียวกันในปีนี้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนซัปพลายเออร์ที่เข้าสู่ระบบดีซีใหม่ที่รองรับสินค้ากลุ่มนอนฟู้ดเป็น 60 รายจากปีที่แล้วที่ซัปพลายเออร์ประมาณ 20 รายที่สู่ระบบดีซีใหม่นี้ พร้อมกับแผนการบริหารสินค้าคงคลังที่จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเป็นตัวหลักของต้นทุน จากเดิมที่ก่อนหน้านี้มีอินเวนทอรี่เดย์หรือ สินค้าคงคลังอยู่ที่ 50 กว่าวัน ปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 34 วัน
สำหรับกรณีที่ภาครัฐจะออกกฎหมายค้าปลีกฉบับใหม่มาบังคับใช้นั้น นางสาวจริยา กล่าวว่า ขอให้รัฐบาลออกกฎหมายมาโดยให้มีความชัดเจน และเรื่องความเป็นธรรมในการค้า โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากให้มองธุรกิจค้าปลีกเป็นเพียงธุรกิจอันเดียว แต่มันเป็นระบบ เป็นบริการ ที่เหมือนกับลอจิสติกส์เป็นซัปพลายเชน ที่เป็นกระบวนการส่งสินค้าไปยังผู้บริโภค มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย การออกกฎหมายควรดูให้ทั้งระบบ
ปี49โกยรายได้เกือบ5.9หมื่นล้าน
นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน กล่าวว่า ผลประกอบการของบิ๊กซีเมื่อปี 2549 มียอดขายรวม 58,032.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 9.1% จากปี 2548 ที่ได้ประมาณ 53,194.5 ล้านบาท โดยปี 2549 มีกำไรสุทธิ 2,123.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากปี 2548 ที่มีกำไรประมาณ 1,882.8 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้นในปีที่แล้ว 2.65 บาท เพิ่มจากปี 2548 ที่มีกำไรต่อหุ้น 2.35 บาท
ทั้งนี้ในปีที่แล้วบริษัทฯมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 4 สาขา คือที่ แพร่ ราชบุรี ลำลุกกาปทุมธานี และ ปราจีนบุรี รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงสาขาเก่ารวม 11 สาขา ซึ่งทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
จากรายงานการสำรวจของนีลเส็นมีเดียรีเสิร์ช พบว่า อัตราการเติบโตของธรกิจค้าปลีกในประเทศไทยเมื่อปี 2549 พบว่ามีการเติบโตโดยรวม 7.3% ขณะที่ตลาดในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ต เติบโต 5.9% ส่วนบิ๊กซีเองนั้นมีการเติบโตมากถึง 9.4% นอกจากนั้นแล้วปริมาณการซื้อของลูกค้าที่บิ๊กซีมีมูลค่าต่อบิลต่อครั้งต่อคนเพิ่มขึ้นและมากที่สุดด้วยคือ ประมาณ 2,000-2,200 บาท
|