“เทมาเส็ก” พลิกวิชามาร ถอนทุนคืนหลังเข้ามาถือหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ล่าสุดบีบ SHIN จ่ายปันผลงวดปี 49 รวม 2.30 บาท สูงกว่ากำไรต่อหุ้นที่ 1.09 บาทต่อหุ้น “ซีดาร์-เอสแพน” รับเละกว่า 7 พันล้าน ขณะที่กำไรสุทธิรูดกว่า 5.2 พันล้าน หรือ 60% โบ้ยรับผลขาดทุนจากไอทีวี ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจหลักมือถือรุนแรงดันค่าใช้จ่ายพุ่ง ด้าน “เสรีพิศุทธ์” ยึดประโยชน์ชาติเป็นหลัก เดินหน้าเชือดกุหลาบแก้ว พร้อมเตรียมตั้งข้อหาดำเนินคดีสัปดาห์หน้า
นายเอนก พนาอภิชน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานการเงินและบัญชี บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN กล่าวถึงผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,409.94 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.09 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 8,624.72 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.88 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง 5,214.77 ล้านบาท คิดเป็น 60.47%
โดยสาเหตุที่บริษัทมีผลการดำเนินงานลดลง สืบเนื่องจากบริษัทได้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV จำนวน 1,105.43 ล้านบาท โดยปรับปรุงมูลค่าเงินลงทุนใน ITV ให้เท่ากับค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิของ ITV ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 หลังจากศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 ได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ทำให้ ITV ต้องกลับไปปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาเข้าร่วมงานฯ เดิม
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียลดลง 4,185.12 ล้านบาท หรือ 47.98% จาก 8,723.14 ล้านบาทในปี 2548 เหลือ 4,538.02 ล้านบาทในปี 2549 โดยส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ลดลง 13.41% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้อันเป็นผลสืบเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น
ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL ลดลง 99.51% ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ค่าเสื่อมราคาของดาวเทียมไอพีสตาร์เต็มปี 2549 ขณะที่ปี 2548 บันทึกค่าเสื่อมราคาเพียง 1 เดือน หลังจากเริ่มให้บริการดาวเทียมในเดือนธันวาคม 2548 ประกอบค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้นและดอกเบี้ยจากการที่ไม่สามารถบันทึกดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการไอพีสตาร์ และไทยคม 5 เป็นทรัพย์สินได้
ด้านส่วนแบ่งขาดทุนเงินลงทุนในแคปปิตอล โอเค (OK) สูงขึ้นเป็นส่วนแบ่งขาดทุน 1,516 ล้านบาท จากปีก่อนมีส่วนแบ่งขาดทุน 288 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน OK ด้วยการเข้าถือหุ้นทั้งหมดตั้งแต่ ในเดือนตุลาคม 2549 นอกจากนี้ OK ยังมีขาดทุนสูงขึ้นจากต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น
นายเอนก กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดปี 49 ในอัตราหุ้นละ 2.30 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 7,989.55 ล้านบาท โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 4,153.99 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2549 คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายอัตราหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 3,196.30 ล้านบาท โดยบริษัทกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2550 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 พฤษภาคม 2550
อนึ่งก่อนหน้านี้ ADVANC บริษัทลูกของบมจ.ชินคอร์ปเรชั่น แจ้งผลการดำเนินงานงวดปี 49 โดยมีกำไรสุทธิ 16,256.01 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อ 5.50 บาท และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้จัดสรรกำไรจากกำไรสะสมและกำไรงวด 6 เดือนหลังของปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวม 9,750 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 3.00 บาท รวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสะสมและผลประกอบการปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 6.30 บาท คิดเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้นประมาณ 18,608 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่านโยบายในการจ่ายเงินปันผลของกลุ่มชินคอร์ปในปีนี้ หลังการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ "เทมาเส็ก" เมื่อต้นปี 2549 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งที่จะเรียกคืนเงินที่ลงทุนจากการเข้ามาถือหุ้นในบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น จำนวน 3,076,762,064 หุ้น หรือ 96.29% ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท มูลค่ารวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท
สำหรับเงินปันผลที่บริษัทชีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด รวมถึงบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเทมาเสกจะได้รับจากเงินปันผลงวดปี 49 รวม 7,076.55 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SHIN วานนี้ (27 ก.พ.) ราคาปิดที่ 27 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.82% มูลค่าการซื้อขาย 14.19 ล้านบาท
เสรีพิศุทธ์เดินหน้าเชือดกุหลาบแก้ว
วานนี้ (27 ก.พ.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 16.30 น.นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าพบพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการผบ.ตร.โดยใช้เวลาหารือประมาณ 15 นาที จากนั้น นายจรัญ จึงเดินทางกลับ พร้อมกับปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าหารือดังกล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า การเดินทางมาเข้าพบของนายจรัญ เป็นการพบปะในฐานะเพื่อนเก่า ที่เคยอบรมนักบริหาร ก.พ.รุ่นเดียวกัน ช่วงนี้ นายจรัญ มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ในขณะที่ตนได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการผบ.ตร. ซึ่งจะได้เชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับกระทรวงยุติธรรม
รักษาการ ผบ.ตร.ได้กล่าวถึงคดีกุหลาบแก้ว ว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งตำรวจทำอยู่แล้ว และเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็ได้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนในคดีกุหลาบแก้ว การเข้าพบของนายจรัญ ไม่มีการพูดคุยให้ดีเอสไอ ไปทำคดีกุหลาบแก้วอีก หากจะพูดให้ชัดเจน คือคดีใดที่ดีเอสไอ รับผิดชอบ จะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาก่อน หากคณะกรรมการเห็นว่า จะให้ดีเอสไอ ทำตำรวจก็พร้อม และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน หากคดีใดที่ตำรวจรับผิดชอบ ดีเอสไอ ก็จะให้ความร่วมมือเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ จะต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้าพบในครั้งนี้ นายจรัญถามถึงทิศทางในการดำเนินคดีกุหลาบแก้วด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิอศุทธ์ตอบว่า เรื่องนี้ เป็นมารยาท ไม่มีการถามถึงรายละเอียดของคดี เมื่อตำรวจมีหน้าที่รับผิดชอบก็ทำไป ในขณะที่ทางดีเอสไอ ก็พร้อมที่จะส่งข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดีกุหลาบแก้วมาให้ เพราะเราก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น
เมื่อถามอีกว่า ที่ผ่านมา ตำรวจดึงคดีมาทำเองหมดทุกอย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ตำรวจไม่ได้ดึงคดีมาหมดทุกอย่าง แต่เนื่องจากขณะนี้ ตำรวจทำคดีเหล่านี้อยู่ เมื่อยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำต่อไป ขอยืนยันว่าคดีไม่ล้นมืออย่างแน่นอน เพราะตำรวจมีกำลังพลกว่า 2 แสนนาย แม้มีภาระกิจอย่างอื่นอีกมากมาย แต่การจัดการและการบริหารเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า สาเหตุที่คดีต่างๆไม่มีความคืบหน้า เกิดจากการบริหาร
เล็งตั้งข้อหา "กุหลาบแก้ว"สัปดาห์หน้า
วันเดียวกันนี้ ประชุมคณะอนุกรรมาธิการตำรวจและสิทธิมนุษยชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีน.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานอนุกรรมาธิการฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับความล่าช้าการคลี่คลายคดีของบริษัทกุหลาบแก้วที่เป็นตัวแทนถือหุ้นแทนกลุ่มเทมาเส็ก หรือนอมินี โดยพล.ต.อ. เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท. ชาญวุฒิ วัชรพุกก์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ต. วิเชียร ฉิมปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน มาชี้แจงแทน
พล.ต.ท.ชาญวุฒิ ชี้แจงถึงความคืบหน้าของคดีว่า พนักงานสอบสวนได้พิจารณาสืบสวนสอบสวน และรวบรวมข้อมูลได้เกือบครบถ้วนพอสมควรแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานทะเบียนธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาต่างๆ รวมทั้งธนาคารในฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ เพื่อสอบถามถึงบุคคลต่างๆ ที่ถือหุ้นและเกี่ยวข้องในบริษัทกุหลาบแก้ว แต่ยังติดขัดเรื่องการสอบปากคำพยานที่เป็นต่างชาติ ซึ่งเหลืออีกไม่เกิน 7 ปาก ซึ่งขณะนี้ได้ประสานขอความร่วมมือไปยังอัยการสูงสุด กระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากเป็นคดีอาญา ตามพ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศมาตรา 35 เพื่อขอความร่วมมือไปยังประเทศอังกฤษ ตรวจสอบการจดทะเบียนของบริษัทแฟร์มอส อินเวสเมนท์กรุ๊ป จำกัด รวมทั้งประเทศสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนเงินของธนาคารเครดิตสวิสต์ เฟริสบอสตัน เนื่องจากมีการโอนเงินผ่านไปยังผู้ถือหุ้นบริษัทกุหลาบแก้ว และผู้เกี่ยวข้อง คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
ขณะที่อนุกรรมาธิการได้สอบถามความเกี่ยวกับการพิจารณาคดีว่าจะเสร็จเมื่อใด เพราะจากฟังการชี้แจงคิดว่าน่าจะเอาผิดได้แล้ว โดยเฉพาะนายเกียรติ สิทธีอมร อนุกมธ. ได้ตั้งข้อสังเกตการทำงานของพนักงานสอบสวนว่า ข้อมูลที่มีอยู่ก็น่าจะเพียงพอในการที่จะเอาผิดได้แล้ว เพราะช่องทางการทำความผิดเป็นช่วงๆ และหลายขั้นตอนก็น่าจะมีความผิดเกิดขึ้นแล้ว จึงอยากให้ไปดูความผิดตั้งแต่ต้น และถ้าพนักงานสอบสวนต้องการข้อมูลเพิ่มเติมยินดีที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมทั้งแนะนำว่าขั้นตอนที่ต้องรอข้อมูลจากต่างประเทศนั้นสามารถทำควบคู่ไปกับการดำเนินคดีได้ และตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับที่มีข่าวว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ต้องการเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้นั้น ถ้าเป็นเรื่องจริงจะทำให้ขั้นตอนล่าช้ามากขึ้น ทั้งนี้พล.ต.ท. ชาญวุฒิ ระบุว่า สตช. สามารถพิจารณาคดีเองได้
ทั้งนี้น.ต.ประสงค์ ได้กล่าวสัพยอกตัวแทน สตช. ในที่ประชุมด้วยว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะจัดทำร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกเสร็จในวันที่ 19 เม.ย. แล้วทางพนักงานสอบสวนจะทำคดีนี้เสร็จก่อนหรือหลังนี้ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญถือว่าหนักเหมือนกัน เรามาแข่งกันไหม ซึ่งพล.ต.ท.ชาญวุฒิ ตอบว่า จะเร่งรัดคดีนี้ด้วยความรอบคอบ ซึ่งขณะนี้ได้ข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะช่องทางการตั้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดแต่ละขั้นตอน ไม่ต้องรอสรุปสำนวนคดีก่อน และจะเร่งดำเนินคดีนี้ให้เสร็จเร็วที่สุด
จากนั้นพล.ต.ท.ชาญวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่า จากหลักฐานข้อมูลที่ได้มาเพิ่มเติมพบว่าการทำธุรกรรมของบริษัทกุหลาบแก้วมีแนวโน้มเป็นนอมินีตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ชี้มูลมาให้ คาดว่าสัปดาห์หน้าอาจจะมีความชัดเจนในการตั้งข้อหาเพื่อส่งดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด และไม่ขัดข้องหากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอจะเข้ามาร่วมกันทำคดีนี้ แต่ต้องดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ทั้งนี้ก่อนการประชุม น.ต. ประสงค์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สตช.จะดึงคดีบริษัทกุหลาบแก้วจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กลับมาสอบสวนเองว่า เรื่องดังกล่าวตนคงไม่เกี่ยวข้องด้วยไม่ว่าหน่วยไหนเป็นผู้ดำเนินการ ขอให้มีความชัดเจนว่าใครเป็นคนผิดหรือถูกเพียงแค่นั้น เมื่อเรื่องส่งให้สตช.มาก่อนแล้วจึงมอบหมายให้ดีเอสไอดำเนินการ หากจะดึงกลับมาที่สตช.อีกครั้งแล้วแต่นโยบาย
ไอซีทีย้ำไม่ซื้อดาวเทียมคืนจากสิงคโปร์
นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องดาวเทียมว่า ขณะนี้ติดตามเรื่องนอมินีเป็นหลัก หากตรวจสอบพบว่าบริษัทกุหลาบแก้วเป็นนอมินี เรื่องชินแซทเทิลไลท์ คงเป็นเรื่องเล็ก เพราะเอไอเอสต้องถูกยึดด้วย เพราะถือว่าผิดกฎหมาย และกฎหมายก็บังคับให้รัฐบาลดำเนินการได้ ทั้งนี้ หากเป็นนอมินีแล้วรัฐบาลปล่อยให้ดำเนินการต่อ รัฐบาลก็ถูกเล่นงาน
"นายกรัฐมนตรีได้ให้ดีเอสไอ เป็นคนตรวจสอบขั้นสุดท้าย ซึ่งคงต้องใช้เวลาบ้าง ไม่ใช่ภายในวันหรือสองวันนี้ คาดว่านานเป็นเดือน ส่วนการตรวจสอบสัญญาสัมปทานของกระทรวงนั้น ต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกา ถ้าตีความมาเรียบร้อย เราก็ดำเนินการปรับสัญญาได้เพื่อให้มีความเป็นธรรม และให้ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย"นายสิทธิชัย กล่าว
ส่วนประเด็นเรื่องของการซื้อดาวเทียมจากสิงคโปร์นั้น นายสิทธิชัย กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริษัทมีหนี้อยู่มาก และถ้าจะดำเนินการต่อไปในฐานะภาคเอกชนต้องทำให้ถูกต้องตามสัญญาสัมปทาน คือ ลงทุนส่งดาวเทียมอีกดวงขึ้นไปด้วย เพราะยังไม่มีดาวเทียมสำรอง ซึ่งต้องใช้เงินอีกหลายพันล้านบาทถึงหมื่นล้านบาท ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไปซื้อแล้ว ไม่สามารถจัดการให้มีประสิทธิภาพได้จะขาดทุนอย่างหนัก ดังนั้นการซื้อคืนโดยรัฐบาลไม่น่าจะทำ เพราะไม่ค่อยฉลาด
"แนวทางการที่รัฐบาลจะซื้อคืนไม่ใช่แนวทางที่ฉลาด รัฐบาลไม่น่าจะทำ แต่ภาคเอกชนจะซื้อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของภาคเอกชน ซึ่งภาคเอกชนทราบนโยบายของกระทรวงแล้วว่าเปิดให้ซื้อได้ ดังนั้นถ้าจะซื้อคงติดต่อกันเอง ไม่เกี่ยวกับกระทรวงแล้ว"
|