Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน28 กุมภาพันธ์ 2550
เทมาเส็กสูบปันผลชินฯ 7 พันล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์

   
search resources

ชินคอร์ปอเรชั่น, บมจ.
เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์
กุหลาบแก้ว, บจก.




“เทมาเส็ก” พลิกวิชามาร ถอนทุนคืนหลังเข้ามาถือหุ้นกลุ่มชินคอร์ป ล่าสุดบีบ SHIN จ่ายปันผลงวดปี 49 รวม 2.30 บาท สูงกว่ากำไรต่อหุ้นที่ 1.09 บาทต่อหุ้น “ซีดาร์-เอสแพน” รับเละกว่า 7 พันล้าน ขณะที่กำไรสุทธิรูดกว่า 5.2 พันล้าน หรือ 60% โบ้ยรับผลขาดทุนจากไอทีวี ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจหลักมือถือรุนแรงดันค่าใช้จ่ายพุ่ง ด้าน “เสรีพิศุทธ์” ยึดประโยชน์ชาติเป็นหลัก เดินหน้าเชือดกุหลาบแก้ว พร้อมเตรียมตั้งข้อหาดำเนินคดีสัปดาห์หน้า

นายเอนก พนาอภิชน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานการเงินและบัญชี บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN กล่าวถึงผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,409.94 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.09 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 8,624.72 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 2.88 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง 5,214.77 ล้านบาท คิดเป็น 60.47%

โดยสาเหตุที่บริษัทมีผลการดำเนินงานลดลง สืบเนื่องจากบริษัทได้รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV จำนวน 1,105.43 ล้านบาท โดยปรับปรุงมูลค่าเงินลงทุนใน ITV ให้เท่ากับค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิของ ITV ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 หลังจากศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 ได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ทำให้ ITV ต้องกลับไปปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาเข้าร่วมงานฯ เดิม

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียลดลง 4,185.12 ล้านบาท หรือ 47.98% จาก 8,723.14 ล้านบาทในปี 2548 เหลือ 4,538.02 ล้านบาทในปี 2549 โดยส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ลดลง 13.41% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้อันเป็นผลสืบเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น

ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL ลดลง 99.51% ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ค่าเสื่อมราคาของดาวเทียมไอพีสตาร์เต็มปี 2549 ขณะที่ปี 2548 บันทึกค่าเสื่อมราคาเพียง 1 เดือน หลังจากเริ่มให้บริการดาวเทียมในเดือนธันวาคม 2548 ประกอบค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้นและดอกเบี้ยจากการที่ไม่สามารถบันทึกดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการไอพีสตาร์ และไทยคม 5 เป็นทรัพย์สินได้

ด้านส่วนแบ่งขาดทุนเงินลงทุนในแคปปิตอล โอเค (OK) สูงขึ้นเป็นส่วนแบ่งขาดทุน 1,516 ล้านบาท จากปีก่อนมีส่วนแบ่งขาดทุน 288 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน OK ด้วยการเข้าถือหุ้นทั้งหมดตั้งแต่ ในเดือนตุลาคม 2549 นอกจากนี้ OK ยังมีขาดทุนสูงขึ้นจากต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น

นายเอนก กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดปี 49 ในอัตราหุ้นละ 2.30 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 7,989.55 ล้านบาท โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 4,153.99 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2549 คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายอัตราหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 3,196.30 ล้านบาท โดยบริษัทกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2550 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 พฤษภาคม 2550

อนึ่งก่อนหน้านี้ ADVANC บริษัทลูกของบมจ.ชินคอร์ปเรชั่น แจ้งผลการดำเนินงานงวดปี 49 โดยมีกำไรสุทธิ 16,256.01 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อ 5.50 บาท และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้จัดสรรกำไรจากกำไรสะสมและกำไรงวด 6 เดือนหลังของปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวม 9,750 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 3.00 บาท รวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรสะสมและผลประกอบการปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 6.30 บาท คิดเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้นประมาณ 18,608 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่านโยบายในการจ่ายเงินปันผลของกลุ่มชินคอร์ปในปีนี้ หลังการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ "เทมาเส็ก" เมื่อต้นปี 2549 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นช่องทางหนึ่งที่จะเรียกคืนเงินที่ลงทุนจากการเข้ามาถือหุ้นในบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น จำนวน 3,076,762,064 หุ้น หรือ 96.29% ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท มูลค่ารวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท

สำหรับเงินปันผลที่บริษัทชีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด รวมถึงบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเทมาเสกจะได้รับจากเงินปันผลงวดปี 49 รวม 7,076.55 ล้านบาท

ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SHIN วานนี้ (27 ก.พ.) ราคาปิดที่ 27 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.82% มูลค่าการซื้อขาย 14.19 ล้านบาท

เสรีพิศุทธ์เดินหน้าเชือดกุหลาบแก้ว

วานนี้ (27 ก.พ.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 16.30 น.นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าพบพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการผบ.ตร.โดยใช้เวลาหารือประมาณ 15 นาที จากนั้น นายจรัญ จึงเดินทางกลับ พร้อมกับปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าหารือดังกล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า การเดินทางมาเข้าพบของนายจรัญ เป็นการพบปะในฐานะเพื่อนเก่า ที่เคยอบรมนักบริหาร ก.พ.รุ่นเดียวกัน ช่วงนี้ นายจรัญ มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ในขณะที่ตนได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการผบ.ตร. ซึ่งจะได้เชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับกระทรวงยุติธรรม

รักษาการ ผบ.ตร.ได้กล่าวถึงคดีกุหลาบแก้ว ว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งตำรวจทำอยู่แล้ว และเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็ได้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนในคดีกุหลาบแก้ว การเข้าพบของนายจรัญ ไม่มีการพูดคุยให้ดีเอสไอ ไปทำคดีกุหลาบแก้วอีก หากจะพูดให้ชัดเจน คือคดีใดที่ดีเอสไอ รับผิดชอบ จะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษพิจารณาก่อน หากคณะกรรมการเห็นว่า จะให้ดีเอสไอ ทำตำรวจก็พร้อม และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน หากคดีใดที่ตำรวจรับผิดชอบ ดีเอสไอ ก็จะให้ความร่วมมือเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ จะต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้าพบในครั้งนี้ นายจรัญถามถึงทิศทางในการดำเนินคดีกุหลาบแก้วด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิอศุทธ์ตอบว่า เรื่องนี้ เป็นมารยาท ไม่มีการถามถึงรายละเอียดของคดี เมื่อตำรวจมีหน้าที่รับผิดชอบก็ทำไป ในขณะที่ทางดีเอสไอ ก็พร้อมที่จะส่งข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดีกุหลาบแก้วมาให้ เพราะเราก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น

เมื่อถามอีกว่า ที่ผ่านมา ตำรวจดึงคดีมาทำเองหมดทุกอย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ตำรวจไม่ได้ดึงคดีมาหมดทุกอย่าง แต่เนื่องจากขณะนี้ ตำรวจทำคดีเหล่านี้อยู่ เมื่อยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำต่อไป ขอยืนยันว่าคดีไม่ล้นมืออย่างแน่นอน เพราะตำรวจมีกำลังพลกว่า 2 แสนนาย แม้มีภาระกิจอย่างอื่นอีกมากมาย แต่การจัดการและการบริหารเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า สาเหตุที่คดีต่างๆไม่มีความคืบหน้า เกิดจากการบริหาร

เล็งตั้งข้อหา "กุหลาบแก้ว"สัปดาห์หน้า

วันเดียวกันนี้ ประชุมคณะอนุกรรมาธิการตำรวจและสิทธิมนุษยชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีน.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานอนุกรรมาธิการฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับความล่าช้าการคลี่คลายคดีของบริษัทกุหลาบแก้วที่เป็นตัวแทนถือหุ้นแทนกลุ่มเทมาเส็ก หรือนอมินี โดยพล.ต.อ. เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท. ชาญวุฒิ วัชรพุกก์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ต. วิเชียร ฉิมปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน มาชี้แจงแทน

พล.ต.ท.ชาญวุฒิ ชี้แจงถึงความคืบหน้าของคดีว่า พนักงานสอบสวนได้พิจารณาสืบสวนสอบสวน และรวบรวมข้อมูลได้เกือบครบถ้วนพอสมควรแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานทะเบียนธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาต่างๆ รวมทั้งธนาคารในฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ เพื่อสอบถามถึงบุคคลต่างๆ ที่ถือหุ้นและเกี่ยวข้องในบริษัทกุหลาบแก้ว แต่ยังติดขัดเรื่องการสอบปากคำพยานที่เป็นต่างชาติ ซึ่งเหลืออีกไม่เกิน 7 ปาก ซึ่งขณะนี้ได้ประสานขอความร่วมมือไปยังอัยการสูงสุด กระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากเป็นคดีอาญา ตามพ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศมาตรา 35 เพื่อขอความร่วมมือไปยังประเทศอังกฤษ ตรวจสอบการจดทะเบียนของบริษัทแฟร์มอส อินเวสเมนท์กรุ๊ป จำกัด รวมทั้งประเทศสิงคโปร์เพื่อตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนเงินของธนาคารเครดิตสวิสต์ เฟริสบอสตัน เนื่องจากมีการโอนเงินผ่านไปยังผู้ถือหุ้นบริษัทกุหลาบแก้ว และผู้เกี่ยวข้อง คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

ขณะที่อนุกรรมาธิการได้สอบถามความเกี่ยวกับการพิจารณาคดีว่าจะเสร็จเมื่อใด เพราะจากฟังการชี้แจงคิดว่าน่าจะเอาผิดได้แล้ว โดยเฉพาะนายเกียรติ สิทธีอมร อนุกมธ. ได้ตั้งข้อสังเกตการทำงานของพนักงานสอบสวนว่า ข้อมูลที่มีอยู่ก็น่าจะเพียงพอในการที่จะเอาผิดได้แล้ว เพราะช่องทางการทำความผิดเป็นช่วงๆ และหลายขั้นตอนก็น่าจะมีความผิดเกิดขึ้นแล้ว จึงอยากให้ไปดูความผิดตั้งแต่ต้น และถ้าพนักงานสอบสวนต้องการข้อมูลเพิ่มเติมยินดีที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมทั้งแนะนำว่าขั้นตอนที่ต้องรอข้อมูลจากต่างประเทศนั้นสามารถทำควบคู่ไปกับการดำเนินคดีได้ และตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับที่มีข่าวว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ต้องการเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้นั้น ถ้าเป็นเรื่องจริงจะทำให้ขั้นตอนล่าช้ามากขึ้น ทั้งนี้พล.ต.ท. ชาญวุฒิ ระบุว่า สตช. สามารถพิจารณาคดีเองได้

ทั้งนี้น.ต.ประสงค์ ได้กล่าวสัพยอกตัวแทน สตช. ในที่ประชุมด้วยว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะจัดทำร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกเสร็จในวันที่ 19 เม.ย. แล้วทางพนักงานสอบสวนจะทำคดีนี้เสร็จก่อนหรือหลังนี้ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญถือว่าหนักเหมือนกัน เรามาแข่งกันไหม ซึ่งพล.ต.ท.ชาญวุฒิ ตอบว่า จะเร่งรัดคดีนี้ด้วยความรอบคอบ ซึ่งขณะนี้ได้ข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะช่องทางการตั้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดแต่ละขั้นตอน ไม่ต้องรอสรุปสำนวนคดีก่อน และจะเร่งดำเนินคดีนี้ให้เสร็จเร็วที่สุด

จากนั้นพล.ต.ท.ชาญวุฒิ ให้สัมภาษณ์ว่า จากหลักฐานข้อมูลที่ได้มาเพิ่มเติมพบว่าการทำธุรกรรมของบริษัทกุหลาบแก้วมีแนวโน้มเป็นนอมินีตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ชี้มูลมาให้ คาดว่าสัปดาห์หน้าอาจจะมีความชัดเจนในการตั้งข้อหาเพื่อส่งดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิด และไม่ขัดข้องหากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอจะเข้ามาร่วมกันทำคดีนี้ แต่ต้องดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

ทั้งนี้ก่อนการประชุม น.ต. ประสงค์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สตช.จะดึงคดีบริษัทกุหลาบแก้วจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กลับมาสอบสวนเองว่า เรื่องดังกล่าวตนคงไม่เกี่ยวข้องด้วยไม่ว่าหน่วยไหนเป็นผู้ดำเนินการ ขอให้มีความชัดเจนว่าใครเป็นคนผิดหรือถูกเพียงแค่นั้น เมื่อเรื่องส่งให้สตช.มาก่อนแล้วจึงมอบหมายให้ดีเอสไอดำเนินการ หากจะดึงกลับมาที่สตช.อีกครั้งแล้วแต่นโยบาย

ไอซีทีย้ำไม่ซื้อดาวเทียมคืนจากสิงคโปร์

นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องดาวเทียมว่า ขณะนี้ติดตามเรื่องนอมินีเป็นหลัก หากตรวจสอบพบว่าบริษัทกุหลาบแก้วเป็นนอมินี เรื่องชินแซทเทิลไลท์ คงเป็นเรื่องเล็ก เพราะเอไอเอสต้องถูกยึดด้วย เพราะถือว่าผิดกฎหมาย และกฎหมายก็บังคับให้รัฐบาลดำเนินการได้ ทั้งนี้ หากเป็นนอมินีแล้วรัฐบาลปล่อยให้ดำเนินการต่อ รัฐบาลก็ถูกเล่นงาน

"นายกรัฐมนตรีได้ให้ดีเอสไอ เป็นคนตรวจสอบขั้นสุดท้าย ซึ่งคงต้องใช้เวลาบ้าง ไม่ใช่ภายในวันหรือสองวันนี้ คาดว่านานเป็นเดือน ส่วนการตรวจสอบสัญญาสัมปทานของกระทรวงนั้น ต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกา ถ้าตีความมาเรียบร้อย เราก็ดำเนินการปรับสัญญาได้เพื่อให้มีความเป็นธรรม และให้ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย"นายสิทธิชัย กล่าว

ส่วนประเด็นเรื่องของการซื้อดาวเทียมจากสิงคโปร์นั้น นายสิทธิชัย กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริษัทมีหนี้อยู่มาก และถ้าจะดำเนินการต่อไปในฐานะภาคเอกชนต้องทำให้ถูกต้องตามสัญญาสัมปทาน คือ ลงทุนส่งดาวเทียมอีกดวงขึ้นไปด้วย เพราะยังไม่มีดาวเทียมสำรอง ซึ่งต้องใช้เงินอีกหลายพันล้านบาทถึงหมื่นล้านบาท ดังนั้น ถ้ารัฐบาลไปซื้อแล้ว ไม่สามารถจัดการให้มีประสิทธิภาพได้จะขาดทุนอย่างหนัก ดังนั้นการซื้อคืนโดยรัฐบาลไม่น่าจะทำ เพราะไม่ค่อยฉลาด

"แนวทางการที่รัฐบาลจะซื้อคืนไม่ใช่แนวทางที่ฉลาด รัฐบาลไม่น่าจะทำ แต่ภาคเอกชนจะซื้อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของภาคเอกชน ซึ่งภาคเอกชนทราบนโยบายของกระทรวงแล้วว่าเปิดให้ซื้อได้ ดังนั้นถ้าจะซื้อคงติดต่อกันเอง ไม่เกี่ยวกับกระทรวงแล้ว"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us