บีเอ็มดับเบิลยูชูไทยศูนย์กลางอาเซียน นำร่องอาศัยสิทธิประโยชน์จาก อาฟตา รุกตลาดรถยนต์ในภูมิภาคนี้
ประเดิมด้วยการแลกเปลี่ยนรุ่น 530i กับรุ่น 330i ระหว่างอินโดนีเซีย-ไทย โดยเป็นค่ายรถหรูยี่ห้อแรกที่เข้าโครงสร้างอาฟตา
ส่งผลให้ราคารถใหม่ไม่สูงมากนัก พร้อมเล็งขยายการลงทุนไปยังจีน หวังผลักดันยอดขายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ทะลุ 1.5 แสนคันภายในระยะเวลา 5 ปี
ดร.มิชาเอล กานาล กรรมการบริหารฝ่ายขายทั่วโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่า
บีเอ็มดับเบิลยูได้เล็งเห็น ถึงความสำคัญของตลาดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่าง
มาก ทั้งนี้จะเห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2545 ที่ผ่านมามีบีเอ็มดับเบิลยูมียอดขายกว่า
7.85 หมื่นคัน เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 28.4%
ทั้งนี้ ตลาดแต่ละประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก ของบีเอ็มดับเบิลยูเกือบทั้งหมด ล้วนมีอัตราการเติบโตเป็นบวก
โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ที่มีการเติบโตกว่า 60-80% ขณะที่ในอาเซียนก็ขยายตัวเช่นกัน
ซึ่งไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดมีอัตราการเติบโตถึง 26.3% จากความสำเร็จเหล่านี้ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู
ตั้งเป้าหมายสำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ภายใน 5 ปี จะต้องมียอดขายถึง 1.5 แสนคันให้ได้
ส่วนสาเหตุที่ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูมั่นใจเช่นนี้ เนื่องจากได้มีการใช้สิทธิประโยชน์จากอาฟตาในภูมิภาคอาเซียน
โดยได้แลกเปลี่ยนรถยนต์บีเอ็ม ดับเบิลยู 530i จากอินโดนีเซีย กับบีเอ็มเบิลยู 330i
ที่ผลิตในไทย เพื่อทำตลาดในประเทศทั้งสอง ซึ่งผลของการใช้สิทธิประโยชน์ตรงนี้ ทำให้สามารถ
ลดต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลต่อราคาจำหน่าย ที่เหมาะสม ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น
นั่นหมายความว่ายอดขายก็เติบโตตามไปด้วย
"บีเอ็มดับเบิลยูอยากจะให้นักการเมือง และรัฐบาล ของประเทศในอาเซียนร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปิดเสรีอาฟตาอย่างสมบูรณ์โดยเร็ว
เพื่อที่จะกระตุ้นให้มีนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีทั้งในแง่การลงทุนและทางเศรษฐกิจ"
ดร.มิชาเอลกล่าว
ในส่วนของการลงทุน บีเอ็มดับเบิลยูจะมีการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอย่างต่อเนื่อง
โดยขณะนี้กำลังพิจารณาถึงแผนการลงทุนในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการขยายตัวอย่างมาก
และการเข้าไปลงทุนในจีนครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะขณะนี้สภาพเศรษฐกิจของจีนกำลังขยายตัวอย่างมาก
ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อรถยนต์พรีเมี่ยมได้ และจีนกำลังจะเข้าดับเบิลยูทีโออย่างเต็มรูปแบบในปี
2006 ซึ่งก็จะพอดีกับการเข้าไปลงทุน ของบีเอ็มดับเบิลยูพอดี
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยังจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู่ภูมิภาคนี้มากขึ้น
โดยเตรียมจะแนะนำรถยนต์พรีเมียมตัวท็อป บีเอ็มดับเบิลยู 760i V12 และจากนั้นก็จะมีรุ่น
730i เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลจากการดำเนินงานดังที่กล่าวมา ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูมั่นใจว่า
จะสามารถมียอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ใน 5 ปีแน่นอน
สำหรับสถานการณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก ปรากฎว่าในปีที่ผ่านมามียอดขาย 1.057
ล้านคัน มีอัตราการเติบโต 16.7% และตั้งเป้าภายในระยะเวลา 5 ปี จะมียอดขายถึง 1.4
ล้านคัน ซึ่งเป็น ผลมาจากการแนะนำสินค้าใหม่สู่ตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มดับเบิลยู
ซีรี่ส์ 1, ซีรี่ส์ 6 และบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 3
ดร.ฟรังค์ เริสเลอร์ ประธานบริษัท บีเอ็ม ดับเบิลยู กรุ๊ปประเทศไทย เปิดเผยว่า
ไทยยังจะเป็นศูนย์กลางของบีเอ็มดับเบิลยูในภูมิภาคอาเซียนอย่างแน่นอน ดังจะเห็นได้จากการเริ่มใช้ประโยชน์จากอาฟตา
บีเอ็มดับเบิลยูก็เลือกให้ไทยเป็นผู้ดำเนินการก่อน โดยส่งรุ่น 330i ไปแลกเปลี่ยน
รุ่น 530i ที่ผลิตในอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้ามาทำตลาดในไทย
โดยบีเอ็มดับเบิลยูนับเป็นรถยนต์พรีเมี่ยมยี่ห้อแรก ที่เริ่มดำเนินการภายใต้กรอบอาฟตา
ทำให้เสียภาษีนำเข้าภายใต้สนธิสัญญาอาฟตาเพียง 5% เท่านั้น ส่งผลให้บีเอ็มดับเบิลยู
530i ที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทย มีราคาเหมาะสมเพียง 3.95 ล้านบาท ซึ่งหากนำเข้าจากเยอรมนีคาดว่าราคาจะสูงถึง
4.5 ล้านบาท
สำหรับการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู 530i ในไทย นับเป็นการตอกย้ำกลยุทธของบีเอ็มดับเบิลยูกรุ๊ปประเทศไทย
ในการที่จะขยายแนวผลิตภัณฑ์ ด้วยรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงสุดอย่างสม่ำเสมอ ในทุกๆ
เซกเมนต์ของตลาดรถยนต์พรีเมียมในไทย เช่นเดียวกับรุ่น 330i, มินิ คูเปอร์ เอส และบีเอ็มดับเบิลยู
ซีรี่ส์ 7 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยู 530i ติดตั้งเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียง
ขนาด 3 ลิตร กำลังสูงสุด 219 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที และแรงบิด 300 นิวตันเมตร
ที่ 3,500 ต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถทำได้ภายในเวลาแปดวินาทีเศษ
บีเอ็มดับเบิลยู 530i ยังมาพร้อมกับล้อดีไซน์ใหม่ M-Style ขนาด 17 นิ้ว และตกแต่งด้วยชุดแต่งแอโร่ว์ไดนามิก
พร้อมติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกเพิ่มเติม 3 ระบบได้แก่ ระบบการควบคุมเบรกแบบไดนามิก,
ระบบการควบคุมการทรงตัวแบบไดนามิก และระบบการควบคุมการเข้าโค้ง ที่จะช่วยสนับสนุนสมรรถนะที่สปอร์ต
และกำลังที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์ขนาดสามลิตร
นอกจากนี้ ภายในงานมอเตอร์โชว์ ที่ไบเทค บีเอ็มดับเบิลยูจะนำเข้ารถยนต์พรีเมียมระดับสูงสุด
บีเอ็มดับเบิลยู 760Li ที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์ V12 สูบ ส่งกำลังได้ถึง 445 แรงม้า
จากประเทศเยอรมนีเข้ามาจำหน่ายยังประเทศไทย ในราคาประมาณ 16 ล้านบาท เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีสมรรถนะสูงของ
บีเอ็มดับเบิลยู ให้ลูกค้าได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น
ผลจากการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูประเทศไทย
มั่นใจว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 4,049 คัน เติบโตจากปีก่อนหน้า
26.5% โดยคาดว่า ตลาดรถยนต์พรีเมี่ยมในไทยปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 12,000 คัน หรือเติบโตจากปีที่แล้ว
7-8%