ผมเฝ้าดูการเปิดตัวของวินโดวส์ตัวใหม่ของไมโครซอฟท์ที่มีชื่อว่า วิสต้า (Vista) มาพักหนึ่งแล้วและพยายามมองหาปรากฏการณ์ ว้าว (Wow!!!) ของไมโครซอฟท์ แต่ก็ยังไม่ "ว้าว" สักที
ฤาว่า นี่จะเป็นความล้มเหลวทางการตลาดของไมโครซอฟท์ โดยที่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องทางด้านเทคนิคเลยนะ
ถ้าสังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่า การเปิดตัวไมโครซอฟท์วินโดวส์เวอร์ชั่นใหม่ที่เรียกว่า "วิสต้า" นี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากที่พวกเราในฐานะผู้ใช้วินโดวส์มาอย่างยาวนาน เคยรู้สึกกับวินโดวส์มาก่อน หรือนี่อาจจะเป็นสัญญาณบอกถึงว่า ไมโครซอฟท์กำลังเดินทางไปสู่จุดจบแล้วหรือเปล่า
ถ้าเราย้อนกลับไปสมัยเปิดตัววินโดวส์ 95 ผู้คนต้องยืนเข้าคิวยาวเหยียดตั้งแต่เช้ามืดเหมือนรอซื้อหนังสือแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ภาคใหม่โดยมีความรู้สึกอยากที่จะเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสกับระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุดของไมโครซอฟท์ พร้อมๆ กับนักร้องซูเปอร์ สตาร์และนักอเมริกันฟุตบอลร่วมการเปิดตัวด้วย แต่การพัฒนาของคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร และอินเทอร์เน็ต ก็ทำให้รูปแบบการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป และทำให้หลายๆ คน จินตนาการไปว่า คงจะไม่มีใครมานั่งต่อคิวยาวเหยียดอีกต่อไปแล้ว เพราะเราอาจจะดาวน์โหลดวินโดวส์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดทางอินเทอร์เน็ตผ่านเน็ตเวิร์คความเร็วสูงกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ไมโครซอฟท์จะประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคมแล้วว่าพวกเขาจะเตรียมวิสต้าทั้งในรูปของซอฟต์แวร์ กล่องและเวอร์ชั่นดาวน์โหลดไว้ก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็ยังคงจะซื้อวินโดวส์เวอร์ชั่นใหม่ในรูปกล่องอยู่ดี เวอร์ชั่นดาวน์โหลดอาจจะยังเร็วไปในขณะนี้ แต่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ คงจะไม่มีใครมาต่อแถวยาวเหยียด เพื่อซื้อวินโดวส์เหมือนที่เคยเป็นมาอีกแล้ว ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลครอบงำอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ของไมโครซอฟท์ที่ถูกกัดกร่อนลงไปเรื่อยๆ ในช่วงระยะ เวลาที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้พีซีเกือบทุกเครื่องต้องพึ่งพิงระบบปฏิบัติการวินโดวส์ แต่ทุกวันนี้เครื่อง คอมพิวเตอร์พูดคุยติดต่อกันโดยอาศัยระบบปฏิบัติการที่เป็นโอเพ่นซอร์สมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าที่จะใช้ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์เฉพาะแบบวินโดวส์เหมือนเมื่อก่อน นอกจากนี้บริการและโปรแกรมบางอย่าง เช่น เวิร์ดโปรเซสเซอร์ ระบบบัญชี ฯลฯ สามารถใช้แบบออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ถือว่าส่งผลเสียอย่างหนักต่อไมโครซอฟท์ วิสต้าออกวางตลาดพร้อมๆ กับซอฟต์แวร์ออฟฟิศเวอร์ชั่นล่าสุด คือ Office 2007 วินโดวส์และออฟฟิศ ถือเป็นสินค้าแกนหลักของบริษัทไมโครซอฟท์ โดยมีส่วนแบ่งยอดขายเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมดและสร้างผลกำไรมากถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันมีพีซีใช้งานรวมกันอยู่มากถึง 1,000 ล้านเครื่องและเนื่องจากวินโดวส์และออฟฟิศติดตั้งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ นั่นทำให้เราไม่สามารถมองข้ามซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมสารสนเทศได้เลย
แต่คำถามสำคัญสำหรับไมโครซอฟท์ก็คือ พวกเขาจะยังคงรักษาตำแหน่งที่สาธยาย มาก่อนหน้านี้ทั้งหมดได้อีกยาวนานแค่ไหน ไมโครซอฟท์ใช้เวลา 5 ปีกับเงินอีก 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการพัฒนาวินโดวส์เวอร์ชั่นใหม่นี้โดยมีคนร่วมในการพัฒนามากถึง 8,000 คน ที่สำคัญพวกเขาออกวางตลาด ช้ากว่าที่เคยประกาศไว้ถึงสองปี โดยเวอร์ชั่นสำหรับองค์กรเพิ่งวางตลาดเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการหยุดยาวปลายปีไม่นานนัก ซึ่งทำให้มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่นำมันไปใช้งานอย่างจริงจัง และทำให้ไมโครซอฟท์มีเวลาหายใจหายคอและใช้เวลาช่วงเทศกาลปีใหม่แก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในโค้ดของวินโดวส์ก่อนที่จะออกเวอร์ชั่นสมบูรณ์ให้องค์กรได้ใช้งานจริง นอกจากนี้ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะหาวินโดวส์มาเป็นเจ้าของเท่าไร โดยหวังที่จะนำมาใช้จริงๆ เมื่อพวกเขาซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่เท่านั้น แน่นอนว่า นี่สะท้อนให้เห็นถึงว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์และออฟฟิศของไมโครซอฟท์ที่กำลังมาถึงจุดอิ่มตัวครั้งสำคัญแล้ว
ถ้าเราวิเคราะห์ถึงการเปิดตัวอย่างเดียว การเปิดตัวเมื่อปลาย เดือนมกราคมก็ไม่ได้มีเหตุการตื่นตาตื่นใจใดๆ มากนักจากไมโครซอฟท์ แม้ไมโครซอฟท์จะใช้เงินมากถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการทำการตลาดวิสต้าทั่วโลกก็ตาม นี่ยังไม่นับการลงทุนในการพัฒนาวิสต้าอีกกว่า 6,000 ล้านเหรียญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ซึ่งเหตุผลของไมโครซอฟท์ก็คือ ก่อนหน้านี้อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายเท่าทุกวันนี้ ทำให้วินโดวส์ 95 ต้องให้ความสำคัญกับการขายตามหน้าร้าน จึงไม่แปลกที่จะเห็นการต่อคิวยาวเหยียดเพื่อเป็นเจ้าของวินโดวส์ แต่ทุกวันนี้ที่คอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตผู้คน ทำให้ไมโครซอฟท์เลือกที่จะเผยแพร่รายละเอียดของวิสต้าผ่านเครือข่ายสื่อสารมวลชนมากกว่า ซึ่งไมโครซอฟท์ให้เหตุผลว่า หน้าที่หลักของวินโดวส์ 95 คือการทำให้ผู้ใช้คุ้นเคยกับพีซีและทำให้พีซีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา ซึ่งทุกวันนี้ก็เป็น แบบนี้แล้ว และพวกเราก็กำลังอยู่ในโลกยุคดิจิตอลกัน
แต่ปรากฏการณ์ความสนใจของผู้คนต่อวิสต้า ดูจะสร้างความล้มเหลวเกิดขึ้น เมื่อไม่นานมานี้การเปิดตัวเครื่องเล่นเกมอย่าง Nintendo Wii และ Sony PlayStation 3 ทำให้คนมากมายหลั่งไหล ไปที่ร้านตลอดทั้งวัน หรือมากกว่าหนึ่งวันก่อนที่เครื่องเล่นเกมจะส่งมาถึงร้าน แต่เมื่อเทียบกับงานเปิดตัวของวิสต้าแล้ว เพียงแค่ 40 นาทีแรกเท่านั้นแถวของคนที่มาเฝ้ารอเพื่อซื้อวิสต้าที่ร้าน Comp USA บนถนน Fifth Avenue ในกรุงนิวยอร์กก็หดสั้นจนแทบจะหายไปหมด ซึ่งแถวที่ยาวเหยียดจะเป็นแรงส่งทางจิตวิทยาในทางบวกที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายจากการลงตีพิมพ์ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ได้เป็นอย่างดี และจะกระตุ้นให้ผู้คนรีบเร่งออกมาซื้อหาเป็นเจ้าของเร็วขึ้นด้วย ซึ่งนักการตลาดก็เห็นว่าผู้คนมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าโดยเห็นจากภาพข่าวมากกว่าดูจากโฆษณา ซึ่งไม่รู้ว่า ไมโครซอฟท์มองข้ามตรงจุดนี้ไปหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางคนก็กล่าวว่า จำนวนวิสต้าที่วางตลาดมีมากกว่าเครื่องเล่นเกมหลายเท่าตัว และเครื่องเล่นเกมก็ทำมาอย่างจำกัดด้วย ส่งผลให้ความต้องการถูกกระตุ้นได้มากกว่า และเมื่อเทียบวิสต้ากับวินโดวส์ 95 แล้ว จำนวนร้านที่นำวิสต้าไปขายก็มีมากกว่ามาก ทำให้ไม่เกิดการต่อคิวที่ยาวเหยียด เช่นเดียวกับที่หลายๆ คนสั่งวิสต้าผ่านเว็บไซต์ Amazon นั่นทำให้วันรุ่งขึ้นหลังการเปิดตัวพวกเขาก็ได้วิสต้าเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องไปเข้าแถวยาวเหยียด
อีกเหตุผลหนึ่งที่อาจจะไม่สามารถมองข้ามได้ก็คือ การเลือกวิสต้าจำเป็นต้องทำให้ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต้องซื้อเครื่องใหม่เพื่อมาใช้งานกับมันได้ ในขณะที่ วินโดวส์ XP ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้และมีระยะเวลาใช้งานที่ยังไม่ยาวนานมากนักรวมถึงปัญหาหนักๆ ก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น ก็ทำให้ ความต้องการใช้วิสต้ายังไม่ถึงระดับที่ทำให้หลายๆ คนเลือกที่จะเปลี่ยนเวอร์ชั่นกันทันทีทันใด เราจึงอาจจะต้องมาติดตามดูว่า ยอดขายพีซีในช่วงไตรมาสแรกต่อเนื่องถึงไตรมาสที่สองจะได้รับแรงกระตุ้นจากวิสต้ามากน้อยเพียงใด และนั่นอาจจะเป็นตัวตัดสินที่ดีว่า วิสต้านั้น "ว้าว" จริงหรือเปล่า
ถ้าวิเคราะห์จากสภาพความเปลี่ยน แปลงในวงการคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตแล้ว เราอาจจะกล่าวได้ว่า มีแนวโน้มสำคัญ 4 ประการที่ส่งผลกระทบต่อไมโครซอฟท์และอาจจะทำให้วิสต้าของไมโครซอฟท์ไม่ "ว้าว" อย่างที่คิดก็ได้ แนวโน้มนั้นได้แก่
หนึ่ง การเติบโตของซอฟต์แวร์ประเภท โอเพ่นซอร์สที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบโดยตรงต่อไมโครซอฟท์เพราะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการใช้ระบบปฏิบัติการที่นอกเหนือไปจากวินโดวส์
สอง แอพพลิเคชั่นแบบออนไลน์และการนำซอฟต์แวร์ไปใช้เพื่อให้เป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยก่อนหน้านี้เรามีรูปแบบการทำงานในลักษณะนี้มาก่อน คือ มีเครื่องที่เรียกว่า dumb terminal ซึ่งจะต่อเชื่อมไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่โดยอาศัยระบบเน็ตเวิร์กที่มีประสิทธิภาพ แต่เมื่อวินโดวส์ถือกำเนิดขึ้นมาก็ทำให้เครื่องพีซีไม่ต้องพึ่งพาเครื่องเซิร์ฟเวอร์อีกต่อไปและอาศัยซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวเอง แต่การผูกขาดของไมโครซอฟท์ก็ทำให้โลกของพีซีย้อนกลับไปสู่การอาศัยเครื่องเซิร์ฟเวอร์เป็นตัวแจกจ่ายแอพพลิเคชั่นอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เป็นการเชื่อมโยงผ่านอินเทอร์เน็ตโดยอาศัยเครือข่ายที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม บริการพื้นฐานที่คนต้องการไม่ว่าจะเป็นอีเมล เวิร์ดโปรเซสเซอร์ และโปรแกรมสเปรดชีตก็สามารถหาใช้งานบนอินเทอร์เน็ตได้ ผู้คนสามารถดูวิดีโอผ่าน YouTube แลกเปลี่ยนรูปภาพผ่าน Flickr ส่งอีเมลและทำงานบนไฟล์ต่างๆ ผ่านเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต
สาม ระบบรักษาความปลอดภัยซึ่งถือ เป็นประเด็นสำคัญที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาวินโดวส์เวอร์ชั่นใหม่ขึ้นมา ซึ่งทำให้ไมโครซอฟท์ตัดสินใจเขียนโค้ดของซอฟต์แวร์ ใหม่ทั้งหมด ความไม่ปลอดภัยในการใช้วินโดวส์ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังสำหรับไมโครซอฟท์มานานหลายปีได้ส่งผลให้ความนิยมในการใช้วินโดวส์ลดน้อยลง ในขณะเดียวกันก็พยายามหาทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
สุดท้ายการเติบโตของอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นช่องทางที่ทำให้คนใช้คอมพิวเตอร์สามารถ ทำทุกอย่างตามที่ต้องการได้จึงทำให้ความต้อง การวินโดวส์มีน้อยลงๆ เพราะความต้องการพื้นฐานของคนใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอยู่ที่เปิดเครื่องขึ้นมาได้และต่ออินเทอร์เน็ตได้ จากนั้นก็สามารถทำอะไรก็ได้บนอินเทอร์เน็ต การลงทุนซื้อวินโดวส์เพียงเพื่อให้ต่ออินเทอร์เน็ตได้จึงอาจจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่านัก
แนวโน้มสี่ประการนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออนาคตของวินโดวส์ที่ทำให้วินโดวส์อาจจะไม่ "ว้าว" มากเท่าที่ไมโครซอฟท์วางแผนไว้เท่าใดนัก
แม้วิสต้าจะไม่ "ว้าว" อย่างที่แฟนๆ วินโดวส์หวังไว้ แต่เราคงต้องมาดูกันว่า ไมโคร ซอฟท์จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื้อรังที่ติดตัวมาอย่างยาวนานได้หรือไม่ และพวกเขาจะปรับตัวครั้งสำคัญในโลกอินเทอร์เน็ตที่จำเป็น ต้องพึ่งพิงวินโดวส์น้อยลงเรื่อยๆ ได้อย่างไรด้วย
อ่านเพิ่มเติม
1. Story, L. (2007), 'Microsoft's Vista Debut Wasn't Nearly So Wow,' New York Times, Feb 5, 2007, pg.3.
2. Boutin, P. (2007), 'The Verdict on Vista,' Slate, Jan 22, 2007.
3. Special Report, 'An end to that blue screen of death?,' The Economist, Jan 20, 2007, Vol.382, Iss. 8512, pg.82.
4. 'Peaks, valleys and vistas' Microsoft,' The Economist, London : Jan 20, 2007. Vol.382, Iss. 8512, pg.82.
5. 'An end to that blue screen of death?,' The Economist, London : Jan 20, 2007. Vol.382, Iss. 8512, pg.82.
6. 'Apple Revs Up Ad Attacks on PCs, Vista,' New York Times, Feb 1, 2007.
7. Lohr, S. (2007), 'First the Wait for Microsoft Vista ; Now the Marketing Barrage,' New York Times, Jan 30, 2007.
8. Boutin, P. (2007), 'The Verdict on Vista,' Slate.com, Jan 22, 2007.
|