ปัญหาผลกระทบเรื่องราคาน้ำมัน กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้หลายๆ บริษัทต้องปวดหัว เพราะต้นทุนพลังงานทำให้ผลประกอบที่คิดว่าจะดี กลับต้องลดลง เหมือนกับที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ที่แม้ว่าในปี 2549 จะมียอดขายสูงถึง 258,175 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 29,451 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 9%
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย กานต์ ตระกูลฮุน บอกในวันแถลงผลประกอบการว่า มีผลมาจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น บวกกับความต้องการปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศ ลดลง
สินค้าที่มีตัวแปรด้านต้นทุนพลังงานมาเกี่ยว ข้องไม่สามารถหนีปัญหานี้ไปได้
ปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง สินค้าพื้นฐานของเครือซิเมนต์ไทย ที่มีบทบาทในการสร้างรายได้มาตลอด ช่วงหลังกลับถดถอยลง ปีที่ผ่านมาเติบโตแค่ 6% และที่เติบโตได้ระดับนี้มาจากการส่งออกปูนซีเมนต์เป็นส่วนใหญ่
ถ้าหากปูนใหญ่ยังเติบโตแค่ 6% ปูนกลาง ปูนเล็ก ปูนน้อย ก็คงอยู่ในภาวะที่ไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก
แต่ธุรกิจที่ทำให้เครือซิเมนต์ไทยยังยิ่งใหญ่และอยู่แถวหน้าได้ก็คือ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มียอดขายรวม 122,645 ล้านบาท เติบโตถึง 43% เพราะปิโตรเคมีในช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงขาขึ้น ราคาก็เลยดีตาม ไปด้วย ยอดขายระดับกว่าแสนล้านบาท มากกว่ายอดขายปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างถึง 3 เท่า
ผู้บริหารเครือซิเมนต์ไทยยังบอกด้วยว่า ได้ลงทุนเพิ่มในธุรกิจ เคมีภัณฑ์อีก 2,900 ล้านบาท แบ่งเป็นการสร้างโรงงานแห่งที่สองของบริษัทไทย เอ็ม เอ็ม เอ ที่ระยอง มีกำลังการผลิต 90,000 ตันต่อปี โดยจะผลิตแผ่นป้ายโฆษณาในอุตสาหกรรมโฆษณา และกรอบไฟของรถยนต์
มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเพิ่มกำลังการผลิตป้ายสำหรับอุตสาหกรรม โฆษณาในช่วงนี้ เครือซิเมนต์ไทยมองถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นตาม มาภายใน 1-2 ปีนี้หรือไม่ เพราะช่วง high season ของธุรกิจป้ายโฆษณา น่าจะมาจากการเลือกตั้งทั้ง ส.ส. และ ส.ว.เหมือนกับในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ไม่แน่ว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป อาจไม่มีป้ายหาเสียงที่อลังการอีกแล้วก็ได้
นอกจากนี้ยังก่อสร้างโรงงานผลิตแผ่น Continuous Cast ที่ ระยอง กำลังการผลิต 20,000 ตันต่อปี ซึ่งแผ่นที่ผลิตนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแผ่นกระจายแสงสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็ก ทรอนิกส์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ จอ LCD
สำหรับบริษัท ไทย เอ็ม เอ็ม เอ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเครือซิเมนต์ไทย กับบริษัท Mitsubishi Rayon Company จากญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปี 2548
ที่สำคัญเครือซิเมนต์ไทยยังจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 15 บาท ก่อน หน้านี้ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 7.50 บาท ใน เดือนสิงหาคม เงินปันผลที่เหลืออีก 7.50 บาทจะจ่ายในเดือนเมษายน
เครือซิเมนต์ไทยประเมินทิศทางของบริษัทในปีนี้แบบระมัด ระวังอย่างมาก โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 5% เพราะช่วงต่อไปกำไรจากปิโตรเคมีจะเริ่มลดลง เนื่องจากราคาในตลาดโลกอ่อนตัว ลง โดยอุตสาหกรรมกระดาษจะเริ่มกลับมาทำรายได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เพราะความต้องการใช้กระดาษเริ่มเพิ่มขึ้น ส่วนวัสดุก่อสร้าง และปูนซีเมนต์ถดถอย อัตราการเติบโตคงที่ แต่ต้องรอดูว่าภาครัฐมีการอัดฉีดเงินผ่านโครงการขนาดใหญ่หรือไม่
|