|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เมเจอร์ฯ ไม่หวั่นมาตรการรัฐกีดกันกำลังซื้อต่างชาติ ชี้แค่ชะลอซื้อระยะสั้น มั่นใจดีมานด์ตลาดคอนโดหรูยังสดใส จากยอดขายที่ยังเป็นไปตามเป้า คาดปี 2550 โต 100% เตรียมซื้อที่ลงทุนปีนี้ 1 โครงการ รอจังหวะสถานการณ์นิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์
ตลาดคอนโดมิเนียมหรูกลายเป็นที่กังวลของหลายฝ่ายหลังจากในช่วงปีที่ผ่านมาที่กำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากการปรับตัวเพิ่มของอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมัน รวมทั้งผลกระทบจากมาตรการภาครัฐที่ออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท และการแก้ไข พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ในการเข้มงวดกับบริษัทที่เข้าข่ายว่าอาจมีชาวต่างชาติแฝงตัวเข้ามาถือหุ้นเกินสัดส่วน 49% ผ่านบริษัทตัวแทน (นอมินี) ที่อ้างว่าเป็นคนไทย แน่นอนว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบทำให้การขยายการลงทุนของกลุ่มทุนเก่า และการเข้ามาของกลุ่มทุนใหม่ในประเทศไทยหยุดชะงักลง ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี้ คือหนึ่งในกลุ่มลูกค้าสำคัญของตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน หลายฝ่ายคาดว่าผลพวงของมาตรการเหล่านี้จะกระทบทำให้ตลาดดังกล่าวหดตัว ขายไม่ออก จนเกิดภาวะซัปพลายล้นตลาด
สำหรับ เมเจอร์ฯ หนึ่งผู้เล่นในตลาดคอนโดมิเนียมระดับหรู แม้จะเกิดกระแสการเมืองเข้ามากระทบตลาด ก็ยังมีความมั่นใจว่าโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่และการลงทุนโครงการในอนาคตจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่ง สุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และมาตรการของภาครัฐที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า และชะลอการตัดสินใจออกไปในระยะสั้น 1-2 เดือน แต่ยอดขายก็ยังเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากชาวต่างชาติมีความเข้าใจในตลาดเมืองไทย เห็นได้จากยอดจองและยอดลูกค้าเข้าชมโครงการที่ไม่ลดลงจากเดิมมากนัก
แม้จะมีปัจจัยหลายด้านเข้ามากระทบตลาดที่อยู่อาศัยระดับบน จนหลายดีเวลลอปเปอร์หันลงมาเล่นตลาดระดับกลาง-ล่างแทน แต่เมเจอร์ฯ ก็ยังคงจุดยืนในการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับบนอยู่เช่นเดิม เพราะยังมองเห็นว่าตลาดนี้ยังมีศักยภาพ แต่จะต้องเพิ่มน้ำหนักการทำตลาดกับลูกค้าคนไทยมากขึ้นโดยชูคุณภาพและคอนเซ็ปต์ของสินค้าเป็นจุดขาย ซึ่งเมเจอร์ฯ มองว่าเป็นจุดสำคัญของการทำตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน นอกเหนือจากทำเลที่ตั้งที่จะต้องเป็นระดับทำเลทองใจกลางเมือง โดยเมเจอร์ฯ ได้เปิดตัว “Wind” แบรนด์ใหม่ของคอนโดมิเนียมระดับบนที่พัฒนายูนิตให้มีขนาดเล็กลง เริ่มต้นที่ 50 ตร.ม. เพื่ออุดช่องว่างของตลาดบนที่ยังไม่มีผู้เล่นเข้ามาพัฒนาห้องชุดขนาดเล็ก สำหรับเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบนมากนัก โดยนำร่องที่ทำเลรัชโยธิน และสุขุมวิท 23 (ซ.ประสานมิตร) เป็นครั้งแรก ปัจจุบันมียอดพรีเซลแล้ว 20%
ด้านรายได้ของเมเจอร์ฯ คาดว่าปี 2549 จะมียอดรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ 2,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 100% ปัจจุบันมียอดขายที่จะโอนเพื่อรอรับรู้รายได้กว่า 2,000 ล้านบาท และมีแผนจะลงทุนในปีนี้อีก 1 โครงการในทำเลใจกลางเมือง ส่วนแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สุริยน กล่าวว่า มีความพร้อมแล้ว คาดว่าจะเข้าในไตรมาส 3 ปีนี้เพื่อระดมทุนอีก 2 เท่า ทั้งนี้ต้องรอจังหวะให้ดูสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เหมาะสม ซึ่งหากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.2-1.5:1 แต่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็เพื่อสร้างความเชื่อถือของสาธารณชนทั้งไทยและต่างชาติมากกว่า
|
|
|
|
|