|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"อาเบอดีน" มองตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ แต่ต้องเลือกเก็บเป็นรายตัว เน้นบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง ผลกำไรที่ดี มีหนี้น้อย เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่แคร์ภาวะตลาดรวม ระบุมาตรการ 30% ไม่ระคายผิว ชี้เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะสมดุลดีได้ขึ้น ตลาดเกิดใหม่เติบโตได้ต่อเนื่อง สภาวะเงินเฟ้อน่าจะไปได้สวย อาการตลาดหุ้นก็ยังแข็งแกร่ง
ด้วยเทคนิควิทยาการความรู้ที่ได้รับการสั่งสมมากว่า 100 ปี บวกกับชื่อเสียง ความชำนาญ และการประเมินสถานการณ์ที่แม่นยำ จึงทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดผลตอบทนจากการลงทุนในหุ้นภายใต้การจัดการของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อาเบอดีน จึงมักถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ เสมอ
รัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บลจ.อาเบอดีน ประเทศไทย มองว่า แม้ปัจจัยทางมหภาคของเศรษฐกิจในประเทศอาจไม่ได้สวยงามนัก แต่จากการสำรวจพบปะผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายๆ แห่ง พบว่าพื้นโดยฐานของหุ้นหลายตัวยังมีความแข็งแกร่งมาก และได้รับผลกระทบด้านลบจากภาวะเศรษฐกิจภายนอกน้อยมาก ทำให้อาเบอดีนจึงยังมีความมั่นใจในหุ้นเหล่านั้นที่ถืออยู่
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่าก็คงมีความน่าสนใจอยู่โดยต้องเลือกประเมินมูลค่าของหุ้นแต่ละบริษัท ซึ่งบางทีก็อาจไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับภาพตลาดโดยรวม นอกจากนี้ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง ผลกำไรดี หนี้สินต่ำ จ่ายเงินปันผลเป็นที่น่าพอใจ รวมทั้งการเติบโตของรายได้จะต้องสม่ำเสมอไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ ซึ่งหากนักลงทุนเลือกลงทุนตามที่กล่าวมา ก็จะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนและได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
"รูปแบบการลงทุนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มอาเบอดีนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เหมือนกันคือจะโฟกัสไปที่หุ้นรายตัวเป็นหลัก โดยเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี หนี้ไม่สูงมากนัก และยึดหลักธรรมภิบาลในการบริหารงานเมื่อลงทุนไปแล้วก็จะสบายใจ ซึ่งก็ได้มีการได้เข้าไปพบปะกับผู้บริหารอยู่เป็นประจำเพื่อประเมินสถานการณ์ลงทุนตลอด ล่าสุดก็ได้พบกับผู้บริหารหลายบริษัท และเห็นว่าบริษัทส่วนใหญ่ยังแข็งแกร่งดีอยู่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องขายหุ้นออกไปในขณะนี้ สัดส่วนการลงทุนก็ยังคงเหมือนเดิม คือเน้นลงทุนในต่างประเทศและการขายหุ้นเฉลี่ยต่อปีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงประมาณ 3 ตัว"
โรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.อาเบอดีน กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากมาตรการกันเงินสำรอง 30% สกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินของนักลงทุนต่างชาติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น้อยมากเนื่องจากพอร์ตกองทุนส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศมากกว่า ถึงแม้จะมีผลกระทบตามมาอีกหลายระรอกแต่ผลการดำเนินงานของอาเบอดีนกลับไม่ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
"อาเบอดีนไม่มีเป้าหมายสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร รวมทั้งประมาณการอัตราการเติบโตของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเราไม่มีนโยบายใช้เกณฑ์ดังกล่าวเป็นตัวตัดสินหรือประเมินสถานการณ์ในการลงทุน แต่จะคำนึงถึงเศรษฐกิจโลกโดยรวมมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังจะพิจารณาจากภูมิภาคในการลงทุนที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนมากกว่า"
ด้าน แอนดรูว์ เมคเมนิกอล์ล ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.อาเบอดีน กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนภายใต้การบริหารงานของอาเบอดีนทุกกองทุนจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในทุกๆ ปีมากกว่าการลงทุนในตลาดโดยรวม ประมาณ 3% ต่อปี เนื่องจากอาเบอดีนจะเน้นการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี ซึ่งได้พิสูจน์แล้วจากภาวะวิกฤติตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาความสมดุลย์ของเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น โดยจะเห็นว่าเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศจีนซึ่งแม้จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่ร้อนแรงแต่ก็ไม่เกิดปัญหาเงินเฟ้อขึ้น ส่วนเศรษฐกิจของสหรัฐและอังกฤษแม้จะมีการชะลอตัวลงบ้าง แต่ไม่ถือว่ารุนแรงนัก ส่วนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดมานานแต่สัญญาณที่ออกมาขณะนี้ก็มีแนวโน้มแล้วว่าจะดีขึ้น จึงมีโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกซึ่งจะส่งผลให้ยอดการปล่อยสินเชื่อและมีเงินหมุนเวียนในระบบมีสูงขึ้น
"การเติบโตของเศรษฐกิจโลกเริ่มสมดุลย์มากขึ้น ตลาดเกิดใหม่ทั้งหลายมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะบราซิล และ เยอรมัน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้มีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดี อัตราการจ้างงานสูงขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงเกินไปนัก และจากการสำรวจตัวเลขงบดุลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลายแห่ง พบว่ายังมีความแข็งแกร่งอยู่มาก จึงเชื่อว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่"
|
|
|
|
|