วัฒนา ร่วมหารือบิ๊กแกรมมี่และอาร์เอส หามาตรการแก้ปัญหาซีดีเถื่อนให้สิ้นซาก
จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ขานรับมาตรการรัฐปราบซีดีเถื่อนมั่นใจครั้งนี้น่าจะสำเร็จ จากแผนแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุถึงปลายเหตุ
ย้ำหากปราบสำเร็จใน 4 เดือนนี้พร้อมหั่นราคาซีดีลงอีก ส่งผลกลไกตลาดกดดันค่ายอื่นลดราคาตาม
ด้านอาร์เอส ยังหวั่นใจซีดีเถื่อนหมดได้จริงหรือ เพราะพบข้อมูลมีการขนย้ายของเถื่อนในลักษณะ‘สต็อกวิ่ง’
ค่ำวานนี้ (20 ก.พ.) นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับ
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
และนายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ประธานกรรมการ บริษัท อาร์.เอส. โปรโมชั่น จำกัด
(มหาชน) ที่โรงแรมโอเรียลเต็ล ถึงแนวทางในการแก้ปัญหาซีดีเถื่อน รวมทั้งการลงขันเพื่อปราบปรามซีดีเถื่อนให้สิ้นซาก
ทั้งนี้ นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด
(มหาชน) ได้เปิดเผยที่อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ก่อนเดินทางไปพบนายวัฒนา เมืองสุข
ที่โรงแรมโอเรียลเต็ล ว่ามาตรการที่ภาครัฐโดย นายวัฒนา กำลังดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาเทปผีซีดีเถื่อน
ที่จะดำเนินการอย่างเป็นกระบวนการ ตั้งแต่ต้นเหตุถึงปลายเหตุ คือ การควบคุมการนำเข้าเครื่องจักร
ที่จะต้องมาขึ้นทะเบียน เพื่อตรวจสอบที่มา ที่ไป ,ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการที่จะต้องแสดงจำนวนการผลิตให้ตรงกับที่แจ้ง
และผู้จัดจำหน่ายที่จะต้องมาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอใบทะเบียนพาณิชย์
เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ โดยต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของสิทธิ์ก่อน
การดำเนินการในครั้งนี้ รัฐมีบทลงโทษสำหรับเจ้าของสถานที่ ที่มีร้านค้าจำหน่ายสินค้าละเมิดสิทธิ์ด้วย
ซึ่งทุกฝ่ายทราบอยู่แล้วว่าอยู่ที่ใดบ้าง เช่น ที่พันธุ์ทิพย์ ตะวันนา ฟอร์จูนฯ
เป็นต้น ทำให้มาตรการปราบปรามครั้งนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าทุกครั้ง
โดยในวันที่ 24 ก.พ.นี้ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จะประชุมเพื่อกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวและประกาศใช้
หากฝ่าฝืนเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเพื่อดำเนินคดีอาญาได้ นอกจากนี้จะสรุปการกำหนดตัวเลขรางวัลนำจับ
และชี้เบาะแส ว่าจำนวนเงินที่สมควรจะเป็นเท่าใดด้วย คาดว่ารางวัลนำจับกรณีแจ้งเบาะแสน่าจะสูงถึงแห่งละ
1 ล้านบาท เพราะมีหน่วยงานจากต่างประเทศ เช่น สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์สหรัฐฯ หรือ
MPA เข้ามาร่วมให้รางวัลนำจับแหล่งผลิตแผ่นดีวีดีเถื่อนด้วย ทำให้เงินรางวัลเพิ่มขึ้น
ซึ่งภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้ง จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ยินดีจะทุ่มงบจ่ายรางวัลให้ผู้ชี้เบาะแสไม่อั้น
“เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ภาครัฐเอาจริงกับการแก้ปัญหา ที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เสียภาษีถูกต้อง
และได้รับความเดือนร้อน ปัจจุบันบริษัทที่ดำเนินการถูกต้อง ต้องเสียภาษีให้ภาครัฐกว่า
50% ทั้งภาษีกำไร ภาษีรายได้ส่วนบุคคล ภาษีเงินปันผล ดังนั้นหากเอกชนมีรายได้เพิ่มขึ้นภาครัฐก็จะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เหมือนกับที่นายกรัฐมนตรีเคยพูดอยู่เสมอว่า รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในทุกบริษัทที่เสียภาษี
จึงยินดีแก้ไขปัญหาให้กับทุกธุรกิจ”
สำหรับมาตรการปราบปรามซีดีเถื่อนอย่างเป็นกระบวนการ จะส่งผลดีกับผู้ประกอบการทั้งอุตสาหกรรมให้มียอดขายดีขึ้น
เพราะสินค้าจริงจะเข้าไปทดแทนของปลอม ช่วงที่รัฐจะดำเนินการปราบปรามตั้งแต่ มี.ค.-มิ.ย.นี้
หากยอดขายเทปและซีดี ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน บริษัทก็ยินดีจะลดราคาสินค้าลงอีก
เพราะหลังจากประสบความสำเร็จจากการลดราคาซีดี จากแผ่นละ 300 บาท เหลือแผ่นละ 150
บาท มาแล้วเมื่อปี 2544 ที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 300-400%
ส่วนครั้งนี้ บริษัทสามารถลดราคาแผ่นซีดีในราคาขายส่งจากแผ่นละ 107 บาท เหลือ
100 บาท หรืออาจจะลดได้มากกว่านี้อีก แต่ต้องขึ้นอยู่กับกลไกตลาดว่าบริษัทจะขายได้ปริมาณเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
เพราะโดยหลักการทำธุรกิจต้องการขายสินค้าจำนวนมาก แม้จะได้กำไรต่ำ แต่หากมาตรการปราบปรามของรัฐทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่มาก
การลดราคาซีดีก็ทำไม่ได้มากตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่ามาตรการของรัฐในการปราบซีดีเถื่อนในครั้งนี้จะส่งผลให้ผลประก
อบการโดยรวมของบริษัทจะมากกว่าผลประกอบการของทุกๆปีที่ผ่านมา
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า เมื่อ 2-3 ปีก่อน บริษัทได้เคยทดลองลดราคาแผ่นซีดีจาก
300 บาท เหลือ 199 บาท แต่ในขณะนั้นมาตรการปราบปรามของรัฐไม่เข้มงวดพอที่จะปราบของปลอมได้
ทำให้บริษัทต้องสูญเสียยอดขายไปกว่า 300 ล้านบาท จึงยกเลิกนโยบายลดราคาในครั้งนั้น
แต่ก็มาประสบความสำเร็จอีกครั้งในปี 2544 เพราะรัฐเริ่มเอาจริงกับการแก้ปัญหา
ส่วนนโยบายปราบซีดีเถื่อนครั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่ารัฐน่าจะทำสำเร็จ ดังนั้นด้วยกลไกตลาดที่แกรมมี่ลดราคาแผ่นซีดีลงมาอีกระลอก
จะทำให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆในตลาดต้องลดราคาลงมาแข่งขันด้วย ซึ่งผลดีก็จะตกอยู่กับผู้บริโภค
นอกจากรัฐ และผู้ประกอบการจะร่วมกันรณรงค์แก้ไขปัญหาสินค้าละเมิดสิทธิ์แล้ว ภาคสังคมจะต้องเป็นอีกส่วนที่ร่วมกันรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนมีค่านิยมใช้สินค้าถูกกฎหมายด้วย
เพราะไม่เช่นนั้นมาตรการต่างๆ ที่ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
อาร์เอส แฉของปลอมเป็น‘สต็อกวิ่ง’
ทางด้านนายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ นายกสมาคมเทปและแผ่นเสียง-ไทย และประธานกรรมการ
บริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับจากที่ นายวัฒนา เมืองสุข
รมช.พาณิชย์ ได้ประกาศว่าภายหลังที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัดระเบียบผู้ผลิต
ผู้ค้า ผู้เสพยาบ้าแล้ว รัฐบาลจะมีการเอ็กซเรย์พื้นที่ที่ผลิตและค้าขายซีดีเถื่อน
นอกจากนี้ยังจะดำเนินการสแกนเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์ที่เป็นผู้ผลิต
เช่น ค่ายเพลงต่างๆ มีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า การทำธุรกิจที่อยู่ในระบบจะได้รับการปกป้องและเยี่ยวยาจากภาครัฐเป็นอย่างดี
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้การทำธุรกิจเพลงได้เสียภาษีให้แก่รัฐอย่างมากมาย แต่กลับไม่ได้รับการเอาใจใส่จากรัฐเท่าที่ควร
จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของสินค้าผิดกฎหมาย
นายเกรียงไกร กล่าวว่าทางสมาคมเทปฯ จะให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้ขายซีดีที่มีลิขสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งในขณะนี้สมาคมเทปฯได้แจ้งให้ค่ายเพลงสมาชิกทราบว่า ภายหลังที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศว่าการจำหน่ายเทปและซีดี
จะต้องขึ้นทะเบียนพาณิชย์กับกรมพัฒนาธุรกิจ และการขึ้นทะเบียนดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองจากเจ้าของลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นค่ายเพลงก่อนอีกด้วย
ซีดีเถื่อน เพื่อหวังผลในการขึ้นทะเบียนพาณิชย์ มิฉะนั้น นโยบายนี้อาจสูญเปล่าได้ถ้าไม่ได้ประสานเสียงร่วมกับภาครัฐ
ยกเว้นว่ากลุ่มผู้เคยค้าซีดีเถื่อน ได้กลับใจเลิกการขายของผิดกฎหมาย และหันมาให้การสนับสนุนโดยการขายซีดีที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม สมาคมเทปฯได้รับรายงานข่าวว่า ผู้ค้าซีดีเถื่อนย่านบ้านหม้อ และคลองถม
ต่างได้ทยอยขนย้ายสต็อก ซีดีเถื่อนที่เคยเก็บไว้ในตลาดบ้านหม้อและคลองถมออกไปบริเวณรอบนอก
ในลักษณะเป็นสต็อกวิ่ง กล่าวคือ สต็อกเหล่านี้จะอาศัยรถตู้เป็นพาหนะ และการจอดเพื่อขนถ่ายสินค้าจะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
เช่น บริเวณลานจอดรถโรงพยาบาลหัวเฉียว ศูนย์การค้าดิโอสยาม ศูนย์การค้าวรจักร เป็นต้น
ทำให้รอดพ้นจากการถูกจับกุม และในส่วนผู้ค้าย่านบ้านหม้อก็ไม่ได้หวั่นไหวหรือสะพึงกลัวมาตรการของนายวัฒนาฯ
แต่อย่างใด แต่ยังคงดำเนินการเป็นปกติอยู่
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ภายหลังที่ผู้ค้าซีดีที่มีลิขสิทธิ์จะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจกระทรวงพาณิชย์แล้ว
สมาคมเทปฯใคร่ขอวิงวอนให้นายวัฒนา ประสานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อทบทวนกฎหมายแห่ง
พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 เพราะกฎหมายฉบับนี้ ยังคงต้องให้ผู้ค้าซีดีต้องมาขอใบอนุญาตประกอบกิจการบริการ
แลกเปลี่ยน และให้เช่าซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์ ตามมาตรา 6 และการขอใบอนุญาตค่อนข้างจะมีปัญหา
เพราะนายทะเบียนแต่ละจังหวัดซึ่งอาจเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หรือตำรวจภูธรจังหวัด
ไม่ส่งเสริมให้ใบอนุญาตดังกล่าว ทั้งๆ ที่ได้มีหนังสือเวียนจากกระทรวงมหาดไทยมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดผ่อนคลาย
โดยการให้ใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว
แต่ในทางปฏิบัติมีผู้ประกอบการจำนวนมากได้ร้องเรียนผ่านสมาคมเทปฯ ว่าเมื่อยื่นคำร้องไปแล้วมักไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ
การค้าจึงมีปัญหา เพราะจะเป็นช่องว่างและทำให้ผู้ค้าแผงซีดีที่มีลิขสิทธิ์ถูกจับกุมเสมอๆ
ทั้งๆที่ขายสินค้า ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากผู้ขายซีดีเถื่อนได้จ่ายส่วยให้กับตำรวจท้องที่แล้ว
ก็สามารถขายซีดีเถื่อนได้เลยไม่ต้องไปขอใบอนุญาตแต่อย่างใดและยังไม่ถูกจับกุมอีกด้วย
ดังนั้น สมาคมเทปฯจึงฝากประเด็นนี้เพื่อให้มีการแก้ไขจะได้ไม่มีช่องว่างการประพฤติที่มิชอบอีก
นายเกรียงไกรฯ กล่าวสรุปว่า หากมาตรการเอ็กซเรย์ซีดีเถื่อนของรัฐบาลนี้ประสบผลสำเร็จ
ก็จะเกิดอานิสงส์หลายประการอย่างมหาศาล ไม่นับถึงภาษีที่เป็นรายได้หลักของรัฐเท่านั้น
ยังหมายความรวมถึงการก่อให้เกิดธุรกิจในระบบที่ดี ก่อให้เกิดสภาพการจ้างแรงงาน
เกิดพลังสร้างสรรค์งานทรัพย์สินทางปัญญา เกิดวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคม สกัดกั้นกลุ่มองค์กรอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและขจัดปัญหาสังคมได้อีกแขนงหนึ่ง
ทั้งนี้สมาคมเทปฯคาดว่าประมาณกลางเดือนมีนาคม จะมีผู้จำหน่ายซีดีที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายรายใหม่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ
30% และคาดว่าจะมีการบริโภคงานที่มีลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้นอีกราว 35- 40% ในส่วนของผลิตภัณฑ์ซีดี
คาดว่าผลิตภัณฑ์วีซีดี จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และเป็นที่นิยมกว่าผลิตภัณฑ์ซีดี(คอมแพคดิสต์)