ผมมีโอกาสสนทนากับนายตำรวจท่านหนึ่ง เรื่องความหนักอกหนักใจในชีวิตที่เกิดขึ้นมาหลายสัปดาห์
ตามประสาคู่สนทนาที่ไม่ดี ผมก็ถามดักคอ ไปว่า เขาคงจะหนักใจเรื่องนโยบายของท่านนายกฯ
ที่จะปราบยาเสพติดให้เห็นผลใน 3 เดือน
เพื่อนคนนี้ส่ายหน้าปฏิเสธว่า เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย เพราะแค่ประกาศขีดเส้นตายมันก็ได้ผลแล้ว
"คุณจะบอกผมว่าเป็นเพราะคราวนี้นายกฯเอาจริง ตำรวจเลยทำได้ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเอาจริง"
"นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญ กว่าอยู่ที่ระบบการประเมิน"
เมื่อเห็นผมทำสีหน้างง เขาก็พูดต่อเหมือนจะเดาใจออก "คุณลองคิดดูซิว่านายกฯ
เป็นคนออก ข้อสอบ แล้วใครเป็นคนตรวจข้อสอบ"
"ก็ต้องเป็นนายกฯ"
"แล้วจะวัดจากอะไร" เขาถามผมต่อ
"ก็ต้องวัดจากตัวเลขการจับกุมผู้กระทำผิด"
"ถ้าจับได้น้อยหมายความว่า ตำรวจทำงานล้มเหลวหรือเปล่า"
"คงไม่ใช่" ผมตอบกลับไป "จับได้น้อยอาจจะเป็นเพราะการรณรงค์ดีขึ้น หรือก่อนหน้านี้จับไปได้มากแล้ว"
"ใช่ เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นได้ว่า การวัดผล ไม่ง่ายเลย จับได้มาก ไม่ได้หมายความว่าคุณแก้ไขปัญหานี้ได้
มันอาจจะหมายความว่าคุณทำงานด้าน ป้องกันไม่ดีก็ได้"
"ถ้าอย่างนั้น คำประกาศของนายกฯ ก็ไม่มีผลอะไรมากนัก"
"ก็ไม่เชิง อย่างน้อยในระยะสั้นตัวเลขการจับผู้กระทำผิดจะสูงอย่างแน่นอน
แต่หลังจากนั้นก็คงจะค่อยๆ น้อยลง แต่อย่างน้อยท่านนายกฯ ก็บอกกับทุกคนว่าผมเอาจริงนะ
ถ้าประสบผลสำเร็จก็เป็นเพราะผมเอาจริง แต่ถ้าล้มเหลวก็เป็นเพราะพวกคุณ"
"ถ้าอย่างนั้น คุณกังวลเรื่องอะไร"
"ก็คงเหมือนคนทั่วๆ ไป ก็เรื่องลูก" เพื่อนคนนี้มีลูกสาวอายุ 4 ขวบ "เด็กมันดื้อจริงๆ
อยากจะได้อะไรต้องเอาให้ได้"
"ถ้าคุณไม่ยอม ก็คงไม่เป็นไรมั้ง ยังไงเขาย้ายคุณประจำกรมไม่ได้ แถมคุณยังตี
หรือดุเขาได้อีกต่างหาก"
"ก็ถูกของคุณ" เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ "แต่เวลาขัดใจทีไร เจ้าตัวเล็กจะลงไปนอนดิ้น
แล้วก็กรีดร้องไม่ยอมหยุด ตีก็แล้ว ดุก็แล้ว ผมทำอะไรไม่ได้เลย"
"สุดท้ายคุณต้องยอม"
"ก็ไม่ทุกครั้ง แต่ก็บ่อยครั้งมาก" สีหน้าเขาแสดงความทุกข์ใจออกมามากกว่าตอนพูดถึงเรื่องยาบ้า
"ผมไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กมา เขาก็แนะนำอย่างที่ผมทำอยู่แล้วคือไม่ต้องตามใจ
ทำเป็นไม่สนใจ พอถามว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมลูกคนโตผมถึงไม่เป็นอย่างนี้ หมอบอกเป็นเพราะผมเลี้ยงเขามาอย่างนี้
ตามใจมากไป คิดดูซิ ผมจ่ายค่าหมอเพื่อให้ช่วยผม เรื่องจัดการกับลูก แต่กลับต้องมาโดนหมอดุว่าเป็นความผิดของผม"
"แสดงว่าคุณไม่เห็นด้วยกับหมอ"
"ก็ไม่เชิง" เขาปฏิเสธ "คิดดูซิ ลูกลงไปนอน ดิ้นพลาดๆ อยู่กับพื้น แล้วให้ผมเฉย
ผมพอทำได้ แต่แฟนผมทำใจไม่ได้ แล้วคุณคิดว่าชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาจะคิดอย่างไร"
"ก็คงเข้ามามุงดู"
"ใช่ ผมรู้สึกเหมือนเป็นพ่อใจร้าย ยิ่งพอบอก ให้เงียบแล้วไม่ยอมผมเคยกระทั่งตีเขาก็ยังไม่ยอมเงียบ"
"แล้วหากคุณทำเฉยๆ ไม่สนใจอย่างที่หมอแนะนำมันเกิดอะไรขึ้น"
"ลูกก็ยิ่งร้องดังขึ้น แถมพฤติกรรมแบบนี้ยิ่งมากขึ้น แต่ก่อนเป็นเฉพาะเวลาอยากได้ของ
แต่ตอนนี้แค่ขัดใจก็ลงไปดิ้นกับพื้น"
"ผมคิดว่าที่คุณทำไม่ได้อย่างที่หมอแนะนำเป็นเพราะสองประเด็น ประเด็นแรกคือ
คุณรอไม่นานพอ เหตุที่คุณรอไม่นานพอ เป็นเพราะคุณอายคนที่เดินผ่านไปมา และไม่ใช่อายว่าคุณปล่อยให้ลูกกลิ้งอยู่กับพื้น
แต่คุณอายว่าคุณจัดการ กับเด็กตัวเล็กๆ ไม่ได้ คุณกังวลว่าเขาจะไม่หยุด ร้องโดยเร็ว
นั่นทำให้คุณลืมเป้าหมายที่สำคัญ กว่า คือทำให้เขาเลิกพฤติกรรมแบบนี้เวลาถูกขัดใจ
คุณมัวไปสนใจกับเป้าหมายเพียงให้เขาหยุดพฤติกรรม"
เขาพยักหน้าเห็นด้วย
"ประเด็นที่สอง คือ เขาเรียนรู้ว่าคุณต้อง ยอมเขามาเกือบทุกครั้งเวลาเขาทำอย่างนี้
ดังนั้น เวลาที่คุณเริ่มจะไม่ยอม เช่นทำเป็นไม่สนใจ เขา ก็จะพยายามมากขึ้นและนานขึ้นโดยการนอนร้องไปเรื่อยๆ
สุดท้ายคุณทนไม่ไหว คุณก็ยอมแพ้ นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมคุณเปลี่ยนวิธีแล้วแต่ปัญหามันกลับดูเหมือนหนักขึ้น"
สีหน้าเขาเหมือนเข้าใจ "ถ้าอย่างนั้นผมควรทำอย่างไร"
"ก็แค่คิดถึงเป้าหมายระยะยาวว่าคุณต้องการให้เขาเลิกและไม่ทำพฤติกรรมร้องและดิ้นเวลาถูกขัดใจ
ไม่ใช่เป้าหมายระยะสั้นว่า ให้เขาหยุดร้องและดิ้นตอนที่ถูกขัดใจ จะทำอย่างนี้ได้คุณต้องเชื่อและสม่ำเสมอในการทำตามวิธีการที่คุณตั้งใจใช้
มันเหมือนเป็นการพิสูจน์ว่าใครจะยืนยันจุดยืนหรือวิธีการของตนเองได้นานกว่ากัน"
"ฟังดูมันก็เหมือนเรื่องวิธีการบริหาร และ จัดการปัญหา" เขาวิจารณ์ "ผมคิดว่าผมพอเข้าใจ
แล้ว เป็นเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองจะอ่อนแอในสายตาคนอื่นผมจึงไม่พยายามเลิกสนใจเขา
เพราะมันทำให้เขาร้องมากขึ้น ว่าแต่ว่าคุณเอาแนวคิดเรื่องความสม่ำเสมอ และเป้าหมายระยะยาวมาจากหนังสือเล่มไหน"
"ตำราเรื่องการเลี้ยงเด็กทุกเล่มจะเขียนไว้แบบนี้"