AMC โชว์กำไรปี 49 พุ่ง 113% เนื่องจากรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่ม โดยเฉพาะมาร์จิ้นของบริษัทดีขึ้นจากราคาเหล็กที่สูงขึ้น อันเป็นผลจากการที่บริษัทหันมาผลิตสินค้าที่หลากหลาย ส่งผลต่อมาร์จิ้นที่ดี

นายชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) (AMC) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานสำหรับงวดปี 2549 แสดงผลกำไรสุทธิ 172.18 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจำนวน 91.63 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานงวดเดียวกันของปี 2548 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 113.74

เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการทั้งสิ้นของปี 2549 เท่ากับ 4,837.49 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 15.56 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2548 โดยปี 2549 มีสัดส่วนของรายได้ดังนี้คือรายได้จากศูนย์บริการเหล็ก 3,623.46 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 74.91 ของรายได้ และรายได้จากการจำหน่ายเหล็กรูปพรรณ 1,213.73 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.09 ของรายได้

ขณะที่ ต้นทุนขายและต้นทุนการให้บริการเท่ากับ 4,450.86 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 92.01 ของรายได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 116.33 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.40 ของรายได้ และบริษัทมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับปีจำนวน 59.17 ล้านบาท

นายชูศักดิ์ กล่าวว่าริษัทหันไปผลิตเหล็กในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้นและผลิตเหล็กครบทุกแขนง เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าที่ผลิต และรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าเพื่อกระจายความเสี่ยง และยังหันไปส่งออกด้วย ขณะที่ศูนย์บริการเหล็กนั้น AMC จะหันมาเน้นการผลิตสินค้าตามที่ลูกค้ากำหนด ซึ่งจะทำให้มาร์จิ้นสูง โดยเฉพาะงานตัดชิ้นส่วน ม้วน เป็นต้น ซึ่งธุรกิจไฟฟ้าและยานยนต์ยังต้องการเหล็กประเภทนี้มาก ดังนั้น การผลิตเหล็กแบบครบวงจรจะทำให้บริษัทมีความหลากหลายแขนง สำหรับมาร์จิ้นของการผลิตสินค้าอยู่ที่ 3% และศูนย์บริการ 4-5% ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้านี้ อันเป็นผลจากราคาเหล็กที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ AMC ยังหันมาเน้นการพัฒนาองค์กรและบุคลากร ควบคู่ไปกับการคุมต้นทุนราคาวัตถุดิบด้วยการบริหารต้นทุนด้านต่าง ๆ เน้นคุณภาพตลาดด้วยการส่งมอบสินค้าตรงตามกำหนด อันจะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้ใจกับคุณภาพและบริการของบริษัท

สำหรับปีนี้ AMC จะเริ่มผลิตท่อเหล็กขนาด 20 นิ้วในพื้นที่โรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดชลบุรี ที่จะเริ่มผลิตได้ปลายปีนี้ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มจาก 1.8 แสนตันต่อปี เป็น 2.6 แสนตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัว รองรับการผลิตสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น และจะส่งผลให้ยอดขายของบริษัททะลุเกิน 5 พันล้านบาทได้ในปี 51 พร้อมเพิ่มยอดการส่งออกตามลำดับ