Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2550








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2550
ขงจื๊อ+จางจื่ออี๋=?             
โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
 





หากจะกล่าวถึงดาราจากจีนแผ่นดินใหญ่ ณ วันนี้ ในสมองของชาวไทยรวมถึงชาวตะวันตกจำนวนไม่น้อย คงปรากฏหน้าหมวยๆ ของดาราสาวที่ชื่อ "จางจื่ออี๋" ขึ้น

ในสายตาของชาวตะวันตก ณ วันนี้ จางจื่ออี๋ หรือ Zhang Ziyi ได้กลายเป็นดาราดังของฮอลลีวูด และตัวแทนของชาวจีนทั้งมวลไปเรียบร้อยแล้ว จากบทบาทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Crouching Tiger Hidden Dragon, Geisha, The Banquet หรือภาพยนตร์โฆษณามากมาย

ของดีของวัฒนธรรมดั้งเดิมจีน จำเป็นต้องถูกส่งผ่านทางช่องของวัฒนธรรมสมัยนิยม (Popular Culture หรือ Pop Culture) จึงจะสามารถส่งออกไปได้ ภาพลักษณ์ของเหยาหมิงหนึ่งคน จางจื่ออี๋อีกหนึ่งคนนั้นได้ผลกว่าการส่งออกตำราของขงจื๊อเป็นหมื่นๆ เล่มเสียอีก! ตัวอย่างของละคร 'แดจังกึม' ของเกาหลีที่สามารถนำวัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมสมัยนิยมมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว แสดงให้เราเห็นมาแล้ว...

"เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับจางจื่ออี๋ เท่ากับให้ความสำคัญกับขงจื๊อ วัฒนธรรมจีนจึงจะมีอนาคต"

เจ้าของประโยคข้างต้นนั้นคือ ศาสตราจารย์จางกู้อู่ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ผู้หาญกล้ากล่าววิพากษ์วิจารณ์ยุทธศาสตร์การสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมของรัฐบาลจีน เพื่อผลักดันให้ประเทศจีน ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจ (ตัวจริง) ของโลกในศตวรรษที่ 21

แล้วในปัจจุบันจีนยังไม่ถือว่าเป็นมหาอำนาจของโลกอีกหรือ?

หากท่านผู้อ่าน อ่านคอลัมน์ China Inside-Out นี้อย่างต่อเนื่องก็คงจะจำได้ว่าในนิตยสารผู้จัดการเมื่อกลางปี 2549 ผมเคยกล่าวถึงคำว่า ความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรม ในบทความเรื่อง "จีนกับการขาดดุลวัฒนธรรม" (นิตยสารผู้จัดการ ฉบับพฤษภาคม 2549) มาก่อน

ความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรมนี้ในภาษาอังกฤษเขาเรียกกันว่า Soft Power

Soft Power เป็นศัพท์คิดขึ้นโดยศาสตราจารย์จาก Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นาม Joseph S. Nye โดยศัพท์คำนี้ถูกนำมาใช้ในทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่ออรรถาธิบายศักยภาพทางการเมืองของรัฐนั้นๆ ที่ส่งอิทธิพลโดยทางอ้อมต่อพฤติกรรมหรือความสนใจของรัฐอื่นๆ ผ่านการเผยแพร่ทางวัฒนธรรมหรือความคิด

ในหนังสือ Soft Power : The Means to Success in World Politics (เผยแพร่ในปี 2547) ของ Nye ระบุถึงแนวคิดพื้นฐานของอำนาจในการทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความต้องการของเราว่า สามารถแบ่งแยกได้เป็น 3 ประการคือ

หนึ่ง ใช้กำลังบังคับ

สอง ล่อด้วยผลตอบแทน

สาม คือการจูงใจให้ผู้อื่นร่วมมือ โดย Nye ให้ความเห็นว่าการสร้างแรงจูงใจในแบบที่สามนั้นมีต้นทุนน้อยกว่าสองวิธีแรกมากนัก

ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกในศตวรรษที่ 20 นอกจากจะรู้จักใช้ยุทธศาสตร์ Hard Power อันหมายถึง กำลังทหาร, อาวุธยุทโธปกรณ์, อิทธิพลทางเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือในการครองโลกแล้ว สหรัฐฯ ยังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง Soft Power ซึ่งหมายความรวมถึงนโยบายต่างประเทศ, อิทธิพลทางวัฒนธรรม โดยใช้ผ่านยุทธศาสตร์ด้านข่าวสาร-สื่อสารมวลชน, หนังสือ-นิตยสาร, ภาพยนตร์-ดาราฮอลลีวูด, ซีรีส์โทรทัศน์, แฟชั่น, การให้ทุนการศึกษา-วิจัย, การเปิดรับนักศึกษาต่างชาติให้เข้ามาศึกษา-ทำงานต่อในสหรัฐฯ ฯลฯ

เช่นเดียวกัน องค์กรเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมทั้งหลายของตะวันตกที่แพร่กระจายอยู่ทั่วโลกและบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น British Council ของอังกฤษ, Goethe ของเยอรมัน, Alliance Franaise ของฝรั่งเศส ฯลฯ สถาบันเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การสั่งสม Soft Power ลำดับที่สามที่ Nye ระบุไว้

"Hard Power นั้นทำให้คนกลัว แต่ Soft Power นั้นทำให้คนยอมรับ"

ไม่นานมานี้รัฐบาลจีนก็เริ่มเรียนรู้และยอมรับถึงแนวคิดดังกล่าวนี้ โดยแทนที่รัฐบาลจีนจะมุ่งเน้นแต่เพียงการขยายศักยภาพทางเศรษฐกิจ การค้า การต่างประเทศ และการทหารของตนเพียงอย่างเดียว ล่าสุดจีนเองก็เริ่มหันมาให้ความสำคัญยุทธศาสตร์อำนาจลำดับที่ 3 กับเขาด้วยเหมือนกัน

อย่างที่ผมเคยกล่าวไปนับตั้งแต่ปี 2548 รัฐบาลจีน ภายใต้การดูแลของสำนักงานการศึกษาภาษาจีนกลาง ได้ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสถาบันขงจื๊อ (หรือ Confucius Institute) ขึ้นมาในหลายประเทศทั่วโลก โดยสถาบันขงจื๊อนี้เองก็เปรียบเสมือนกับเป็นองค์กรที่ช่วยกระตุ้นให้ชาวโลกหันมาให้ความสนใจกับวัฒนธรรมจีนมากขึ้น

ทำไมสถาบันเผยแพร่วัฒนธรรมของจีนต้องใช้สัญลักษณ์เป็นขงจื๊อ? ทำไมไม่เป็นมังกรที่ดูมีความเป็นจีนมากกว่า?

ในประเด็นนี้นิตยสาร New Weekly ฉบับสุดท้ายของปี 2549 ให้คำตอบไว้ว่า ประเด็นแรก ในสายตาของชาวตะวันตก 'มังกร' นั้นเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ประหลาดที่ดุร้าย-น่าสะพรึงกลัว มากกว่าที่จะเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าของความดีอย่างความเชื่อของชาวจีน ดังนั้นจึงอาจเป็นการไม่ค่อยเหมาะสมนักที่จะใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันดังกล่าว

ประการต่อมา 'ขงจื๊อ' คือ นักปรัชญา-นักการศึกษา ผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ที่เกิดในสมัยชุนชิวเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว แต่คำสอนของขงจื๊อกลับได้รับการถ่าย ทอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ถึงแม้ในช่วงร้อยกว่าปีมานี้ ชาวจีนในยุคสาธารณรัฐ-ยุคคอมมิวนิสต์จะมองว่าประเพณีปฏิบัติและคำสอนของลัทธิขงจื๊อนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวจีนและประเทศจีน ต้องตกระกำลำบากนับตั้งแต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จวบจนหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม ค.ศ.1966-1976 (พ.ศ.2509-2519) แต่ในช่วงหลายปีหลังมานี้ในแวดวงการศึกษาและสังคมจีนกลับยอมรับกันว่า ลัทธิขงจื๊อและคำสอนของลัทธิขงจื๊อนั้น เป็นหนึ่งในแก่นแกนของประวัติศาสตร์จีนและวัฒนธรรมจีนที่จำเป็นต้องรักษาเอาไว้เยี่ยงมรดกสำคัญของชนชาติ

แม้ว่าคำสอนจำนวนไม่น้อยของขงจื๊อ จะตกยุคไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับประเพณี อย่างเช่น คำสอนที่ว่าเมื่อบิดา-มารดาเสียชีวิต บุตรหลานต้องไว้อาลัยเป็นเวลาสามปี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คำสอนของขงจื๊ออีกจำนวนมหาศาล กลับสามารถนำมาดัดแปลงเพื่อใช้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ มาตรฐานทางจริยธรรมของชาวจีนในยุคศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไม่ขัดเขิน อย่างเช่นคำสอนที่ว่า

....."เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
...... "ในจำนวนคนที่เดินทางมาสามคน หนึ่งในนั้นต้องมีคนที่เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าได้ " ; คำสอนนี้มีไว้เพื่อให้คนเรารู้จักถ่อมตน ไม่ทระนงตนจนเกินไป ทั้งยังสอนให้รู้จักแยกแยะส่วนดี-ไม่ดีของผู้อื่นเพื่อมาปรับปรุงตนเอง) เป็นต้น

สถาบันขงจื๊อเป็นสถาบันที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยงบประมาณที่รัฐบาลจีนเจียดมาให้มหาวิทยาลัย ที่จัดตั้งสถาบันขงจื๊อในแต่ละแห่งนั้น คิดเป็นจำนวนกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมกับบุคลากรและตำราเรียนในลักษณะต่างๆ โดยจุดประสงค์แรก ก็เพื่อเผยแพร่ภาษาจีนให้กลายเป็นภาษาของโลก เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ ขณะที่ในขั้นต่อไปนั้น ก็เพื่อจะส่งเสริมให้สถาบันแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษา-วิจัยเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีนของประเทศและภูมิภาคนั้นๆ

นับจากการประชุม The World Chinese Conference ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 ณ มหานครปักกิ่ง ซึ่งทางสำนักงานการศึกษาภาษาจีนกลาง ได้ประกาศตั้งสถาบันขงจื๊อจำนวน 25 แห่งทั่วโลก จนถึงปัจจุบันสถาบันขงจื๊อได้เพิ่มจำนวน โดยมีมากถึง 123 แห่งใน 49 ประเทศ/ภูมิภาคแล้ว

โดยในประเทศไทยนั้น ก็มีสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่ได้รับการติดต่อเพื่อจัดตั้งสถาบันขงจื๊อขึ้น เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์-มหาวิทยาลัยหัวเฉียว (ประเทศจีน), มหาวิทยาลัยเชียงใหม่-มหาวิทยาลัยครูยูนนาน, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง-มหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นต้น

ทั้งนี้มีคนคิดคำนวณดูอัตราเติบโตของสถาบันขงจื๊อแล้ว ก็พบว่าในปี 2549 นั้นมีการจัดตั้งสถาบันขงจื๊อเพิ่มขึ้นหนึ่งแห่งในทุกๆ 4 วัน!

ในเชิงปริมาณ ดูเหมือนว่าจีนกำลังพยายามขยาย Soft Power ของตนเอง ผ่านสถาบันขงจื๊อในอัตราที่รวดเร็วอย่างยิ่งยวด (โดยเฉพาะประเทศที่มองว่าการเติบโตของจีนเป็นภัยคุกคาม) แต่กระนั้นก็มีหลายคนกลับตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนตัวเลขนั้นไม่อาจบ่งบอกได้ว่าภารกิจของสถาบันขงจื๊อนั้นประสบความสำเร็จแค่ไหน เนื่องจากในปัจจุบันภาวะปัญหาที่สถาบันขงจื๊อทั่วโลกประสบอย่างหนักก็คือ การขาดแคลนอาจารย์-ผู้เชี่ยวชาญที่จะไปประจำตามสถาบันขงจื๊อในแต่ละแห่งทั่วโลก, การไม่มีตำราเรียน (โดยเฉพาะภาษาจีน) ที่จะนำมาเป็นมาตรฐานในการสอน หรือถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมจีน ไม่นับรวมกับเนื้อหาการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนที่ปัจจุบัน ต้องถือว่า ค่อนข้างสะเปะสะปะ ขาดความเป็นเอกภาพ...

อย่างคำที่ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งกล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้น การที่จีนจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลก และทำให้วัฒนธรรมของตนเอง เป็นที่ยอมรับของชาวโลกได้นั้น รัฐบาลจีนจำต้องเกาะ 'กระแสสมัยนิยม' ต้องรู้จักการผสมผสาน เปรียบได้กับการนำเอาแนวคิดของปราชญ์อย่างขงจื๊อ มาผสมผสานกับรูปลักษณ์อันสวยสดของดาราสาวจางจื่ออี๋ให้ได้

ส่วนผลจากการผสมผสานที่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น... ต้องติดตาม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us