เมื่อประมาณเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์เอบีซีนำเสนอสกู๊ปพิเศษเรื่อง "ชาวอเมริกันแสวงหาเฮลท์แคร์ในต่างแดน" เป็นเรื่องราวของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันรายหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างท่องเที่ยวอยู่ในประเทศโครเอเชีย...
สองปีก่อน สแพรโร มาฮอนนี่ สาวอเมริกันจากนิวยอร์ก วัย 27 ปี ประสบอุบัติเหตุรถชนในโครเอเชีย ทำให้ขาข้างซ้ายของเธอหักละเอียด ถึงขั้นอาจจะต้องตัดขา...เธอต้องนอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูที่ไกลจากบ้านเธอถึง 4,000 ไมล์ ขณะเดียวกันก็วิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่ารักษาพยาบาลในต่างถิ่น "ฉันควรจะยอมจ่ายหมื่นเหรียญให้หมอตัดขาทิ้ง หรือฉันและครอบครัวจะยอมล้มละลายเพื่อรักษาขาฉันไว้" สแพรโรคิดวิตกระหว่างตัดสินใจ โดยที่ขณะนั้นคำนวณเป็นจำนวนค่าใช้จ่ายตามที่เธออาจต้องจ่ายในอเมริกาทั้งที่ยังไม่รู้ว่าค่ารักษาพยาบาลที่โครเอเชียจะเป็นเท่าไร
ในที่สุดเธอเลือกยอมล้มละลายเพื่อรักษาขาของเธอไว้ เธอบอกแพทย์ในโครเอเชียว่า ขอให้ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาขาของเธอไว้ อีก 3 สัปดาห์ต่อมา ขณะเธออยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เธอได้รับบิลค่าใช้จ่ายจำนวน 5,000 เหรียญเท่านั้น ซึ่งหากเป็นในอเมริกา เธอคงต้องจ่ายหลายหมื่นเหรียญ เป็นเหตุการณ์ที่เธอไม่มีวันลืม...นอกจากจะไม่ต้องล้มละลายแล้ว เธอยังสามารถบรรลุความฝัน...สแพรโรฉลองครบรอบ 1 ปีของอุบัติเหตุด้วยการปีนขึ้นบันได และปัจจุบันเธอเป็นนักวิ่งตามที่เธอฝันไว้ "อเมริกาประสบความสำเร็จในการโฆษณาว่าเป็นประเทศที่มีเฮลท์แคร์ที่ดีที่สุดมาเป็นเวลานาน นั่นเพราะอเมริกามีโรงเรียนการแพทย์มากมายและเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะสามารถเข้าไปใช้บริการเหล่านั้นได้ง่ายๆ" สแพรโรกล่าวทิ้งไว้ให้คิด ยิ่งกว่านั้นเธอนำประสบการณ์ของเธอมาเปิดประตูให้แก่ชาวอเมริกันอีกหลายคนได้ก้าวออกมาจากห้องที่ปิดตายมานานด้วยเว็บไซต์ www.medicaltourism.com ที่ช่วยให้ชาวอเมริกันมีทางเลือกใหม่ในการรักษาพยาบาล "จะดีแค่ไหน ถ้าผ่าตัดเสริมจมูกให้สวยแล้วยังได้ไปเที่ยวทะเลต่อด้วย"
นอกจากนี้ เจฟฟ์ ชูล์ท ผู้เขียนหนังสือ "Beauty from Afar" ซึ่งเป็นหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพหรือเมดิคัลทัวร์ ได้เล่าถึงกรณีของเขาว่า เขามีปัญหาเรื่องสุขภาพฟันที่ต้องรักษารากจำนวนหลายซี่ ผู้ที่เคยรับการรักษารากฟันจะทราบดีว่า ขั้นตอนสุดท้ายหลังจากรักษารากฟันเสร็จสิ้นแล้วคือ การครอบฟัน ผู้เขียนเองมีประสบการณ์นี้มาแล้วในอเมริกา ขนาดมีประกันแล้วยังต้องควักกระเป๋าเองอีกประมาณ 800 เหรียญ ราคาเต็มประมาณ 1,600-1,800 เหรียญ ซึ่งผู้เขียนเคยครอบฟันในเมืองไทย ซี่หนึ่งไม่เกิน 20,000 บาท...กลับมาที่เรื่องของเจฟฟ์ เขามีฟันที่ต้องรักษาจำนวนหลายซี่ ซึ่งคำนวณแล้วเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 18,000 เหรียญ สำหรับคลินิกในคณะทันตแพทย์ของมหาวิทยาลัย ถึง 30,000 เหรียญ สำหรับคลินิกเอกชน เมื่อเห็นตัวเลข เขาเริ่มหาทางอื่นที่จะประหยัดเงินและรักษาฟันของเขาด้วย เจฟฟ์เริ่มเสิร์ชอินเทอร์เน็ตและพบว่าในประเทศกำลังพัฒนาอย่างอินเดีย บราซิล คอสตาริกา หรือเม็กซิโก เป็นต้น มีระบบการแพทย์ที่ไม่น้อยหน้าอเมริกา และที่สำคัญค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก เขาตัดสินใจเลือกไปทำฟันที่คอสตาริกา โดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินทั้งสิ้น 8,000 เหรียญ รวมค่าเดินทางด้วยแล้ว เขาฟันธงเลยว่า การเดินทางไปรับการรักษานอกประเทศอเมริกาจะช่วยประหยัดเงินได้ถึง 50-80% แถมได้พักผ่อนตากอากาศไปด้วย ทั้งนี้ ไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง ฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกไปรักษาสุขภาพในต่างแดนก็ต้องมีการค้นคว้าหาข้อมูลให้ดีเสียก่อน เขาจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยชาวอเมริกันในการทำความรู้ความเข้าใจเรื่องเมดิคัลทัวร์
ในหนังสือเจฟฟ์กล่าวถึงโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ด้วยว่า เป็นโรงพยาบาลชั้นนำระดับต้นของธุรกิจการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพของประเทศไทย เมื่อปีที่แล้วบำรุงราษฎร์มีคนไข้ชาวอเมริกันมากถึง 50,000 ราย ซึ่งเพิ่มมากขึ้นถึง 30% จากปีก่อน
ซึ่งเขาได้เคอร์ทิส ชโรเดอร์ ซีอีโอของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มาเขียนคำแถลงปิดท้ายเล่มในหนังสือของเขาเล่มนี้ด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างจำนวนน้อยนิดเท่านั้นของชาวอเมริกันผู้มีประสบการณ์ในการมารับบริการด้านเฮลท์แคร์ในต่างแดน...ธุรกิจด้านเมดิคัลทัวริซึ่ม เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น ตลาดด้านนี้ยังสามารถขยายได้อีกมาก ประเทศไทยเองก็ถือเป็นผู้นำหนึ่งในแถบเอเชีย แต่จะประมาทประเทศอย่างอินเดียหรือสิงคโปร์ไม่ได้ ดังนั้นผู้ให้บริการในไทยต้องพยายามรักษาระดับคุณภาพและบริการให้สูงและโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ที่สำคัญราคายังคงต้องแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ชนิดที่ลูกค้าต้องรู้สึก "คุ้มและสบายใจ"
|