ธอส. ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน 0.25% ช่วยประชาชนมีบ้านได้ง่ายขึ้น พร้อมปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก 0.25-0.5% ส่งผลแบงก์สูญรายได้ 300-500 ล้านบาท ส่วนผลงานปี 49 ปล่อยสินเชื่อ 113,100 ล้านบาท กำไร 3,432 ล้านบาท ปี 50 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 90,000 ล้านบาท กำไร 4,000 ล้านบาท
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR ลง 0.25% เหลือ 7.50% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับลดลง 0.25 -0.5% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนเหลือ 4.25% , เงินฝากประจำ 6 เดือนเหลือ 4.25% , เงินฝากประจำ 1 ปี , 2 ปี และ 3 ปีเหลือ 4.5% และเงินฝากประจำ 5 ปีเหลือ 4.75% มีผลตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม เป็นต้นไป
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะตลาด ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ระยะ 1 วันลง และเป็นการช่วยเหลือให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับลดดังกล่าวจะทำให้รายได้ของ ธอส.ลดลง 300-500 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2549 ก่อนการรับรองงบการเงินจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 3,432 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 4,367.79 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 21.44% มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 605,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจุบัน ธอส.มีขนาดทรัพย์ตามหลังธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้จำนวน 205,460 ราย เป็นเงิน 113,195 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิม 115,000 ล้านบาท
ปัจจุบันธนาคารมีสินเชื่อคงค้าง (Outstanding) รวม 537,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.94% ขณะที่ยอดเงินฝากอยู่ที่ 447,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.68% โดยมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 5.49% ของสินเชื่อรวม หรือ 29,503 ล้านบาท และมีหนี้ส่วนขาดทั้งสิ้น 19,612.78 ล้านบาท หากรวมทั้งสองส่วนนี้จะทำให้ธอส.มีเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 49,114 ล้านบาท หรือ 8.82% และสามารถจำหน่ายทรัพย์รอการขายได้ (NPA) ได้จำนวน 2,843 ล้านบาท ปัจจุบันมีเอ็นพีเอ จำนวน 7,679 ล้านบาท
ส่วนแหล่งเงินทุนที่สำคัญของธนาคาร ได้แก่ 1.เงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงินวงเงิน 435,431 ล้านบาท คิดเป็น 77.71% 2.เงินกู้ภายในประเทศ 8,002 ล้านบาท คิดเป็น 1.43% 3.เงินกู้ต่างประเทศ 8,338 ล้านบาท คิดเป็น 1.49% 4.พันธบัตร 85,500 ล้านบาท คิดเป็น 15.26% และ 5.เงินกู้ยืมในตลาดเงิน 23,092 ล้านบาท คิดเป็น 4.12%
“อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีความต้องการที่จะปรับโครงสร้างทุน โดยลดสัดส่วนของเงินฝากและตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 77 หรือประมาณ 435,431 ล้านบาท แล้วหันไปแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์มากขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อหาข้อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยก่อนหน้านี้ธนาคารได้เสนอขอทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์มูลค่า 40,000 ล้านบาท แต่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเพียง 10,000 ล้านบาท และเป็นการเสนอขายภายในประเทศ ” นายขรรค์กล่าว
นายขรรค์ กล่าวว่า ธนาคารยังเน้นนโยบายปล่อยสินเชื่อคุณภาพให้กับประชาชนทั่วไปมีที่อยู่เป็นของตนเอง โดยจะเร่งขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้กับโครงการที่เกิดขึ้นจากนโยบายของภาครัฐ อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการบ้านมั่นคง โครงการธอส.-กบข. โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โครงการส่งเสริมธุรกิจตลาดบ้านมือสอง เป็นต้น โดยตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ขั้นต่ำ 90,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4,000 ล้านบาท ในปี 2550
สำหรับนโยบายการดำเนินงานในปีนี้จะเปลี่ยนแปลงกุลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติโดยใช้หลักการ balanced scorecard โดยกำหนดนโยบายเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการเงิน เป็นการแปลงทรัพย์สินเป็นหลักทรัพย์ การทำซีเคียวรีไทเซซั่น การปรับโครงสร้างด้านเงินฝาก (deposit tenor restructuring) 2.แยกบัญชีลูกค้าภาครัฐและเอกชน, เปิดศูนย์บริการ OSS, เปิดเค้าน์เตอร์การเงิน และเปิดสาขาใหม่ 3.ปรับกระบวนการดำเนินการภายใน โดยการนำระบบ core banking มาใช้ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ และ 4.เพิ่มการเรียนรู้และการเติบโต โดยการปรับระบบเพื่อให้รองรับเกณฑ์มาตรฐานทางบัญชีใหม่ BASE II
นอกจากนี้ธอส.ยังได้ประกาศแต่งตั้งผู้บริหาร 2 ตำแหน่ง คือ นายคนิสร์ สุคนธมาน ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี และนายสัมมา คีตสิน ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
|