ASCON เพิ่มทุนอีก 200 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญ 200 ล้านหุ้น พาร์ละ 1 บาท พร้อมออกวอร์แรนต์ฟรี 100 ล้านหน่วย ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม อัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์ โดยหุ้นใหม่ 100 ล้านหุ้นเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 2.50 บาท ส่วนอีก 100 ล้านหุ้นไว้รองรับการแปลงสภาพวอร์แรนต์ พร้อมซื้อ The Inspire Rama IX ในราคาทั้งสิ้นไม่เกิน 475 ล้านบาท และลงทุนเพิ่มเติมเพื่อก่อสร้างโครงการให้แล้ว 512 ล้าน บาท หรือวงเงินรวมไม่เกิน 987 ล้านบาท

นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ( ASCON ) แจ้งผลการประชุม ครั้งที่ 1/2550 เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2550 ว่าบอร์ดได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากเดิม 200 ล้านบาท เป็น 400 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท

พร้อมกับให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์)ที่จะซื้อหุ้นสามัญ ครั้งที่ 1จำนวน 100 ล้านหน่วย เพื่อจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์ ราคา 0 บาท อายุ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกวอร์แรนต์ กำหนดราคาใช้สิทธิ 4.50 บาท และใช้สิทธิในทุกไตรมาส ซึ่งจะเสนอขายภายใน 1 ปีหลังจากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

หลังจากนั้น ให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท 100 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) ตามสัดส่วนการถือหุ้น และสำรองหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 100 ล้านหุ้น สำหรับการใช้สิทธิของผู้ถือวอร์แรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 ตามที่เสนอในวาระที่ 2

โดยจัดสรรหุ้นใหม่ 100 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Right Issue) ให้จัดสรรในอัตราส่วนการจองซื้อ 2 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2.50 บาท และผู้ถือหุ้นเดิมอาจแสดงความจำนงที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุนนอกเหนือจากสิทธิที่ได้รับจัดสรรในราคาเสนอขายเท่ากัน โดยให้คณะกรรมการบริษัท หรือคณะกรรมการบริหารของบริษัท หรือบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทเป็นผู้พิจารณาข้อกำหนด พร้อมแก้ไขหนังสือสือบริคณธ์สนธิของบริษัท ข้อ 4เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทด้วย

นอกจากนี้ บอร์ดบริษัท ยังอนุมัติให้เข้าซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโครงการอาคารชุด The Inspire Rama IX ในราคาทั้งสิ้นไม่เกิน 475 ล้านบาท และอนุมัติเงินลงทุนเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จทั้งสิ้นไม่เกิน 512 ล้าน บาท รวมเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้นไม่เกิน 987 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในการจ่ายชำระมูลค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว บริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการจากการดำเนินงานและเงินทุนหมุนเวียนภายในของบริษัทเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 100 บาท ส่วนเงินลงทุนที่เหลือและเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง บริษัทจะใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ พร้อมทั้งพิจารณาอนุมัติให้ นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา กรรมการผู้จัดการ มีอำนาจเจรจาทำความตกลงและลงนามในเอกสารและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการอื่นใดอันจำเป็นซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งดำเนินการก่อสร้างโครงการ The Inspire Rama IX ดังกล่าว

หลังจากการทำรายการดังกล่าว บริษัทจะเป็นเจ้าของที่ดินและอาคารของโครงการอาคารชุด The Inspire Rama IX โดยโครงการดังกล่าว ณ ปัจจุบันมีผู้จองซื้อโครงการทั้งสิ้นประมาณร้อยละ 60 และบริษัทคาดว่าจะสามารถก่อสร้างอาคาร และจำหน่ายห้องชุดที่เหลือได้ทั้งหมดภายในปี 2550-2551 ซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายโครงการอาคารชุดนี้โครงการอาคารชุดนี้มีมูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท

รายการนี้เข้าข่ายเป็นรายการระเภทที่ 1 ตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่องการเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 (เกณฑ์การได้มาจำหน่ายไป) ซึ่งบริษัทจะต้องจัดทำรายงานละเปิดเผยรายการต่อตลาดหลักทรัพย์ และจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติในการตกลงเข้าทำรายการต่อไป

กำหนดจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่ 1/2550ในวันที่ 1 มีนาคม 2550 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 7 อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ชั้น 8 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาเรื่องต่างๆ และกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นในการเข้าประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2550 ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมจะแล้วเสร็จ

สำหรับกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และสิทธิในการรับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญครั้งที่ 1 จะได้แจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบต่อไปเมื่อบริษัทได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว