ธุรกิจบริหารการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์เร่งปรับตัว รับกับสภาพตลาดที่ชะลอตัว ทั้งจากมาตรภาครัฐ-การเมือง และเศรษฐกิจ บิ๊กไนท์แฟรงค์ฯเน้นเพิ่มคุณภาพมากกว่าสร้างปริมาณโครงการในมือ ทำทีมเฉพาะดูลูกค้าไทย-เทศ ระบุเป็นปีของการทำวิจัยตลาดสำนักงาน-คอนโดฯ เปรยพอร์ตในมือมูลค่าขายกว่า 8,000 ล้านบาท ทั้งโครงการของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง-วิไลลักษณ์-ทุนสิงคโปร์ ด้านฮาริสันฯชูกลยุทธ์ทำตลาดครบวงจร ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 ล้านบาท
นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจของบริษัทฯในปี 2550 ว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การปรับปรุงในด้านการบริการให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนการบริหารการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในมือ จะต้องมีการขยายตัวเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพื่อให้โครงการต่างๆ ดำเนินการไปตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้รุกเข้าไปบริหารโครงการอสังหาฯ โดยเฉพาะช่วงปลายปี 49 ที่มีการรุกหนักอย่างมาก รวมถึงการปรับระบบบริหารการจัดการสำนักงานในภูเก็ตให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ จะให้น้ำหนักในการทำบทวิเคราะห์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ที่เน้นตลาดอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียมในตลาดหัวหินและพัทยา เพื่อให้สอดคล้องกับความชำนาญและฐานลูกค้าที่บริษัทมีอยู่ โดยบทวิจัยดังกล่าวจะผลักดันออกไปตามสื่อต่างๆและส่งถึงมือลูกค้า 2 สัปดาห์ต่อครั้ง
"ตลาดอสังหาฯปีที่ผ่านมาการขายยาก โดยเฉพาะช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีปัญหาการเมือง การลงทุนและคนซื้อบ้านชะลอตัวลง ถ้าจะเทียบไปแล้วปี 49 แย่กว่าปี 2545ด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นยอดขายของโครงการที่บริษัทเข้าไปบริหารการขายยังขายได้ มีตัวเลขในลำดับที่ยอมรับได้ ส่วนปีนี้ ยังไม่แน่ใจในสถานการณ์ เพราะคลื่นของปัญหามาเป็นระลอก ส่วนปัญหาเก่าก็ยังไม่ชัดเจน”
ตระกูลศรีเฟื่องฟุ้งผุดบ้านหรูพัทยา
นายพนมกล่าวว่า โดยโครงการที่บริหารการขายนั้น ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 8 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯและโครงการต่างจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมมูลค่าการขายกว่า 8,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน ธุรกิจในเครือครอบครัวชินธรรมมิตร์ เจ้าของธุรกิจน้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ราชาชูรส จำกัด , โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ชื่อ DLV ทองหล่อ 20 (ทุนสิงคโปร์) สูง 8 ชั้น เปิดขายตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา มียอดขายไปกว่า 50% ,โครงการอิสสระ @ 42 (สุขุมวิท 42) ,บ้านชานทะเล (ชะอำ) โครงการฮอส ชู พอยส์ (พัทยา) ของตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง นำที่ดินที่ติดกับโรงแรมมาพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและวิลล่า ,โครงการไอยรา (พัทยา) อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการซึ่งจะมีรูปแบบของวิลล่าและคอนโดมิเนียม คาดจะเปิดการขายภายในเดือนก.พ.นี้ ,โครงการภูผาธารา (ระยอง) ของกลุ่มตระกูลวิไลลักษณ์ เจ้าของบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โครงการมีมูลค่าการขายประมาณ 800 ล้านบาท คาดเปิดตัวมี.ค.นี้ และโครงการบ้านเทพา บนถนนเทพารักษ์ กม. 1 เป็นนักลงทุนที่ทำธุรกิจทางด้านอาหารอันดับต้นๆของเมืองไทย (อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ) รูปแบบบ้านเดี่ยวประมาณ 80 หลัง ราคาขายประมาณ 4-5 ล้านบาท
"เรามองว่าด้วยศักยภาพของบริษัทแล้ว สามารถที่จะเข้าไปเพิ่มโครงการบริหารการขายในมือได้มาก แต่ทั้งหมดแล้ว ต้องมาดูเรื่องของทีมงาน คุณภาพที่จะให้แก่ลูกค้าเป็นสำคัญ เนื่องจากบริษัทไม่ได้ทำหน้าที่แค่การบริหารการขายอย่างเดียว จะเข้าไปตั้งแต่การวิจัยตลาดให้แก่เจ้าของโครงการ เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่จะออกเป็นอย่างไร ระดับราคาขายควรมีความเหมาะสมกับตลาด ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ หลังจากศึกษาให้ลูกค้าแล้ว เราก็จะเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้เจ้าของโครงการ ดูการขายและบริการต่างๆ เรียกว่า หน้าที่ของเรา ทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และตามข้อเท็จจริงแล้ว การทำโครงการ ต้องวิเคราะห์ผู้ซื้อให้ถูกต้อง เพื่อให้ระยะเวลาการขายสั้นลง ลดความเสี่ยงให้แก่เจ้าของโครงการด้วย "นายพนมกล่าว
โดยโครงการแต่ละแห่งที่เข้าไปบริหาร จะมีจุดขายที่ต่างกัน อย่างเช่น โครงการบ้านชานทะเล (ชะอำ)บรรยากาศดี โครงการโบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน คู่แข่งที่จะพัฒนาโครงการเหมือนทำได้ยาก หรือ โครงการคอนโดฯ DLV ใช้เรื่องของขนาดห้องชุดและราคามาเป็นจุดขาย เป็นต้น
" ปีนี้เราตั้งเป้าจะมีโครงการที่เข้าไปบริหารการขายประมาณ 4-6 โครงการ แต่ที่ได้แน่นอนในปีนี้จะมีประมาณ 2 โครงการ เป็นการขยายโครงการใหม่ของลูกค้าที่บริษัทบริหารการขายให้อยู่ คือ กลุ่มทุนสิงคโปร์ที่ทำโครงการDLV ทองหล่อ และโครงการบ้านเทพา ที่จะมีโครงการใหม่ในปีนี้ " กรรมการผู้จัดการกล่าว
ตลาดบริหารโครงการแข่งขันสูง
ในด้านภาพรวมตลาดการบริหารการขายโครงการนั้น นายพนมกล่าวว่าต้องมาพิจารณาว่าแต่ละบริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างไร ขณะที่จุดแข่งของไนท์แฟรงค์ มีการแบ่งทีมเจาะลูกค้า คือ ทีมบริหารลูกค้าคนไทยและลูกค้าต่างประเทศ ทำให้บริษัทสามารถจัดแนวคิดที่จะเข้าไปทำตลาดกับลูกค้าได้ชัดเจน ขณะที่บริษัทคู่แข่งบางแห่งไม่ได้ทำตัวสินค้าแต่มุ่งที่จะขายอย่างเดียว
"ถ้าจะมองคู่แข่งกับบริษัท ต้องดูว่าลักษณะของลูกค้าด้วย อย่างถ้าเป็นในซีบีดีแล้ว บริษัทจะชนกับค่ายฮาริสันที่ขายบ้านและคอนโดมิเนียม แต่ถ้าเป็นโครงการวิลล่าในต่างจังหวัดแล้ว ไนท์แฟรงค์ฯจะชนกับค่ายซีบี ริชาร์ด เอลิสฯ "นายพนมกล่าว
ฮาริสันฯทำการตลาดแบบครบวงจร
แหล่งข่าวระดับสูงจาก บริษัท ฮาริสัน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานด้านการตลาดในปี2550 ว่า แม้ตลาดอสังหาฯในปีนี้ จะไม่ขยายตัวตามที่มีการคาดหมายไว้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา เนื่อง จากมีปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามากระทบในช่วงต้นปี 2550 ทำให้เกิดการชะลอการซื้อของกลุ่มลูกกค้าทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสแรกนี้ อัตราการเติบโตของตลาดไม่เป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ก็เชื่อว่าในระยะยาวหากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้นตลาดจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับมา
ดังนั้น บริษัทจึงไม่ได้มีการชะลอแผนการดำเนินงานในปีนี้ หรือมีการปรับแผนการดำเนินการใหม่ แต่จะยังคงเดินหน้าตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยบริษัทจะเน้นในเรื่องให้บริการลูกค้าที่ครบวงจรมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการบริการลูกค้า อาทิ การให้บริการด้านการบริหารงานอาคารชุดของนิติบุคคลอาคารชุด หรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรในโครงการของลูกค้าที่บริษัทเข้าไปบริหารงานอยู่ การบริหารงานด้านการปล่อยเช่า การบริหารและจัดการขายทรัพย์ ทั้งในส่วนของบริษัทเอกชนที่ฝากขายทรัพย์รวมถึงสถาบันการเงินต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานประมูลขายทรัพย์ทอดตลาดให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยในปี50 นี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะนี้บริษัทมี สินค้า(สต๊อก)ทรัพย์ที่รับบริหารงานขายในมือ รวมกว่า 23,000ล้านบาท โดยเป็นสต๊อกเดิมจากปี2549 มูลค่า 18,000 ล้านบาท และเป็นทรัพย์ที่มีการเซ็นสัญญาใหม่อีก 5,000-6,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาบริหารการขายให้อีก 5,000-6,000 ล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้
|