|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แม้จะมีคู่แข่งเกิดขึ้นในตลาดรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ หรือที่เรียกกันว่าจักรยานยนต์เอที แต่ยามาฮ่ากลับสามารถถีบตัวเองหนี้คู่แข่งได้ไกลยิ่งขึ้น อาจเพราะการเดินเข้าสู่ตลาดดังกล่าวมาก่อนคู่แข่งทั้งฮอนด้า และซูซูกิ ทำให้สร้างการยอมรับจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นได้กว้างขวางกว่า ซึ่งเชื่อว่าหากยามาฮ่าสามารถรักษาฐานที่มั่นแห่งนี้ได้ โอกาสที่จะดันยอดขายขึ้นไปไล่ฮอนด้า เจ้าตลาดรถจักรยานยนต์ก็คงไม่ไกลเกินไป
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา ฮอนด้ายังคงครองความเป็นผู้นำตลาดรวมรถจักรยานยนต์ของไทย ด้วยปริมาณ 1.35 ล้านคัน หรือติดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 71% ของตลาดรถจักรยานยนต์ทั้งหมด 1.9 ล้านคัน ส่วนยามาฮ่านั้นทำยอดขายอยู่ที่ 465,000 คัน หรือราว 24% ซึ่งเป็นปริมาณการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตั้งแต่ยามาฮ่า เริ่มรุกเขาสู่ตลาดรถจักรยานยนต์เอที เมื่อราว 3-4 ปีที่ผ่านมา
เมื่อปีที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์เอที มีการเติบโตอย่างมาก โดยตลาดรวมรถจักรยานยนต์ประเภทดังกล่าวมีปริมาณถึง 46% ของตลาดรถจักรยานยนต์ทั้งหมด 1.9 ล้านคัน หรือคิดเป็น 874,000 คัน ซึ่งในนี้ยามาฮ่าสามารถครองส่วนแบ่งตลาดถึง 51% เหนือกว่าผู้นำตลาดรวมอย่างฮอนด้า และเป็นยอดขายที่มาจากรถจักรยานยนต์เอที 3 รุ่นประกอบด้วย มีโอ, นีโอ และฟีโน่ รุ่นล่าสุด
ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ช่วงของการเปิดตัวรถจักรยานยนต์เอที รุ่นมีโอ ใหม่ ว่า ตั้งแต่เปิดตัว ยามาฮ่า ฟีโน่ มอเตอร์ไซค์สไตล์แฟชั่นในเดือนกันยายน ปี 2549 ที่ผ่านมาสามารถสร้างกระแสใหม่จนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มวัยรุ่นชาย หญิง สร้างทางเลือกใหม่ให้กับคนรักดีไซน์ ซึ่งเป็นการขยายตลาดออโตเมติก และยังตอกย้ำภาพลักษณ์ความสำเร็จของผู้นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติกตัวจริง ทำให้ความนิยมของผู้บริโภคในรถจักรยานยนต์ประเภทออโตเมติกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยทิศทางต่อจากนี้ของยามาฮ่า น่าจะยังคงเน้นการขยายตลาดรถจักรยานยนต์เอที อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง และถือเป็นการเลือกทางเดินที่เหมาะสมกับแบรนด์ หลังจากที่ยามาฮ่านำแนวคิดการตลาดที่เรียกว่า Value Added Marketing มาใช้ ซึ่งไม่เน้นการต่อสู้กับคู่แข่งในเรื่องราคา แต่หันมาเน้นการสร้างตลาดด้วย ผลิตภัณฑ์ ใช้คุณภาพของสินค้าและดีไซน์ที่สามารถสร้างความรับรู้ได้ง่ายกว่าเป็นตัวที่สร้างความแตกต่างในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น เช่น มีความโค้งมนของตัวถังมากกว่า และการเน้นดีไซน์ที่แตกต่าง
การขยายตลาดอุปกรณ์ตกแต่ง เนื่องจากพฤติกรรมของวัยรุ่นไทยบางกลุ่มชอบตกแต่งรถของตนให้มีความแปลกและแตกต่างจากของเดิม แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการ แต่ยามาฮ่ามีการขยายไลน์ออกสู่การผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของรุ่นมอเตอร์ไซค์ เช่นการร่วมกับ U-FO ทำเสื้อผ้าให้กับแบรนด์ฟีโน่ โดย จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด บอกว่า นอกจากต้องการสร้างความแตกต่างของตัวผลิตภัณฑ์ ยามาฮ่ายังต้องการขยายฐานการตลาด และขยายกลุ่มผู้ใช้ไปสู่กลุ่มใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คลาสสิกด้วยรถจักรยานยนต์ ซึ่งอาจจะเป็นรถคันที่ 2 ของคนที่มีรถกระบะก็ได้
ขณะที่การพัฒนาตัวแทนจำหน่ายในส่วนของยามาฮ่าสแควร์ ที่มีมากถึงเกือบ 200 สาขา เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายหลักก็ดูจะมีอนาคตที่สดใส เนื่องจากตัวผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจและทำยอดขายได้ต่อเนื่อง รวมถึงการจัดกิจกรรมโรดโชว์ของยามาฮ่าเอง ก็ถือเป็นการกระตุ้นตลาด และช่วยตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ขายได้งายขึ้น ซึ่งล่าสุด ควงพรีเซ็นเตอร์ วงแคลช สานต่อความแรงเกินใคร ออกทัวร์ Local Launch 21 จังหวัด เปิดตัวยามาฮ่า มีโอ ใหม่ พร้อมกับการจัดประกวดแต่งรถยามาฮ่า มีโอ ในคอนเซ็ปต์ รถยามาฮ่า มีโอ สุดขีด เทรน์ซ่าส์
ถึงแม้ว่าช่องวางของยอดขายระหว่างผู้นำตลาดกับยามาฮ่า ในฐานะผู้ทีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 จะมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ในปี 2550 จะเป็นการวัดฝีมือของยามาฮ่าว่าจะสามารถบูมตลาดรถจักรยานยนต์เอทีได้มากแค่ไหน อย่างไรก็ดี ณ เวลานี้ต้องยอมรับว่ายามาฮ่า กำลังกลายเป็นผู้นำของ Trend Setter ของตลาดรถจักรยานยนต์เอทีไปเสียแล้ว
|
|
|
|
|