Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์29 มกราคม 2550
คิวเฮ้าส์เทน้ำหนักคาซ่าฯหวังดันรายได้โต 20%             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด

   
search resources

ควอลิตี้เฮาส์, บมจ.
รัตน์ พานิชพันธ์
Real Estate




คิวเฮ้าส์เผยไม่มั่นใจการเมือง แต่ไม่คิดปรับแผนลงทุน เชื่อมั่นระเบิดไม่สะเทือนดีมานด์บ้านถูก ตั้งเป้าปีนี้โต 20% พร้อมรุก 6 โครงการใหม่ วางเป้าสัดส่วนรายได้ คาซ่าปี 51 ขยับเป็น 50% ทั้งแนวราบ-แนวสูง เตรียมสยายปีกคาซ่าเจาะตลาดคอนโดครั้งแรก

การตัดสินใจใช้ “คาซ่า วิลล์” เป็นไฟท์ติ้งแบรนด์เพื่อรุกตลาดบ้านระดับกลางของคิวเฮ้าส์ ถือเป็นกลยุทธ์ที่คิวเฮ้าส์มองไว้ไม่ผิดพลาด หลังจากปี 2548 ที่เริ่มค้นพบว่าตลาดบ้านราคาแพงเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว คิวเฮ้าส์จึงก่อตั้ง บริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด และเข้าไปถือหุ้นในบริษัท 100% เริ่มบุกเบิกซื้อที่ดินในย่านวัชรพล, ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์, ศรีนครินทร์ ,พระราม 2 และเอกมัย-รามอินทรา พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “คาซ่า วิลล์” และทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ “คาซ่า ซิตี้” เป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขายตามจุดยืนของคิวเฮ้าส์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการทำตลาดเป็นอย่างดี เพราะเป็นสินค้าที่มาถูกจังหวะในช่วงที่ดีมานด์บ้านระดับกลางกำลังเติบโตอย่างมาก

รัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ คิวเฮ้าส์ กล่าวว่า ยอดขายในปีที่ผ่านมามีไม่มากนัก เนื่องจากเป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย แต่คาดว่ายอดรับรู้รายได้จะสูงกว่าปี 2548 ประมาณ 20% ส่วนหนึ่งมาจาก 2 โครงการของคาซ่า วิลล์ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้แบ่งเป็นยอดรับรู้รายได้จากคิวเฮ้าส์ 60% และคาซ่า วิลล์ 40% คาดว่าปีนี้จะมียอดรับรู้รายได้รวมอยู่ที่ 5,500 ล้านบาท และมองว่ายอดรับรู้รายได้ปี 2551 จะโตกว่าปีนี้ 20%

จากการขายอาคารสำนักงาน 3 แห่งให้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้เฮ้าส์ ทำให้คิวเฮ้าส์มีสภาพคล่องมากขึ้น สามารถลดสัดส่วนหนี้สินลงมาอยู่ที่ 1 เท่า หลังจากต้องแบกรับภาระหนี้สิน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการก่อสร้างอาคารสูงมานานหลายปี เมื่อฐานะทางการเงินแข็งแกร่งแล้ว คิวเฮ้าส์จึงมีความพร้อมที่จะขยายการลงทุนเพิ่มทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง

ปี 2550 คิวเฮ้าส์ตั้งเป้าจะปิด 6 โครงการเก่าต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม7,770 ล้านบาท ได้แก่ พฤกษ์ภิรมย์ รีเจนท์ ราชพฤกษ์-สาทร, ลัดดารมย์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า, คาซ่า วิลล์ เอกมัย-รามอินทรา, คาซ่า วิลล์ ศรีนครินทร์, คาซ่า ซิตี้ นวลจันทร์ 1 และคาซ่า ซิตี้ รามคำแหง

ปัจจุบันคิวเฮ้าส์มีสต็อกบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ประมาณ 600 ล้านบาท และในอนาคตฐานการรับรู้รายได้ของคิวเฮ้าส์จะขยายไปสู่โครงการของคาซ่า วิลล์มากขึ้นเป็นสัดส่วน 50% ของยอดรับรู้รายได้รวมของกลุ่มบริษัทในปี 2551

สำหรับปี 2551 คาซ่า วิลล์ มีแผนที่จะรุกเข้าสู่ตลาดคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “คาซ่า คอนโด” โดยได้ซื้อที่ดิน 2-3 ไร่ย่านท่าพระ ใกล้กับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอสสายตากสินแล้ว นอกจากนี้ยังดูที่ดินอีกหลายแปลงเพื่อลงทุนพัฒนาบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียมเพิ่ม สำหรับคอนโดมิเนียมจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมราคาขาย 3 ล้านบาทต่อยูนิต เน้นทำเลสุขุมวิท และทำเลเกาะแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเกาะแนวเส้นทางส่วนต่อขยาย เนื่องจากมีความแน่นอนของการก่อสร้าง

ในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้เฮ้าส์ รัตน์ กล่าวว่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อยที่เป็นคนไทย ซึ่งจะมีความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์น้อยกว่านักลงทุนต่างชาติ คาดว่าในปีนี้จะมีการขายเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ของคิวเฮ้าส์เข้ากองทุนอีก 5 แห่ง มูลค่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนเพิ่มเป็น 13,000 ล้านบาท

รัตน์ แสดงความเห็นว่า สำหรับสถานการณ์ของประเทศที่เพิ่งผ่านมายังเร็วเกินไปที่จะวิเคราะห์ผลกระทบ แต่ทั้งนี้มีความไม่มั่นใจเรื่องภาวะความไม่สงบทางการเมืองมากที่สุด หากเหตุการณ์ยังไม่รุนแรง บริษัทฯ จะยังไม่ปรับแผนการลงทุนแต่อย่างใด ทั้งนี้มั่นใจว่าการตัดสินใจซื้อบ้านระดับกลาง-ล่างจะไม่ถูกกระทบจากเหตุการณ์ เพราะเป็นความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us