Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์29 มกราคม 2550
ผวาสิงคโปร์ถอนทุน-ย้ายฐานอ้างบรรยากาศไม่เอื้อถูกตีตราเป็นศัตรู!             
 


   
search resources

Investment




เผยตัวเลข 7ปี ทุนสิงคโปร์แห่เข้าไทยกว่า 250รายในธุรกิจหลัก 5ประเภท ขณะที่ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนBOI สะพัดกว่า 2.8หมื่นล้านเมื่อปี49เป็นรองแค่ญี่ปุ่นประเทศเดียว ด้านหอการค้า –สภาอุตฯเชื่อผลกระทบไม่ถึงขั้นถอนทุน –ย้ายฐานการผลิต ส่วนนักวิชาการระบุ ‘ทุนสิงคโปร์’กำลังถูกมองเป็นศัตรูจากสังคมเชื่อหากสถานการณ์ไม่ดีเกิดการประท้วงไม่รู้จบกลุ่มทุนสิงคโปร์ถอนทุน-ย้ายฐานการผลิตแน่

ระเบิดลูกล่าสุดที่มีผลจากกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย หลังจากกระทรวงต่างประเทศไทยประกาศระงับความร่วมมือภายใต้กรอบโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานข้าราชการพลเรือนไทย-สิงคโปร์ (Civil Service Exchange Program หรือ ซีเสป (CSEP) และยังยกเลิกการประชุม CSEP ครั้งที่ 8 ซึ่งเดิมที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29-31 มกราคม 2550 รวมถึงการถอนคำเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ที่จะมาเยือนไทย ในวันที่ 29-30 มกราคม 2550 เพื่อร่วมในการประชุม CSEP

แม้เรื่องดังกล่าวดูจะเป็นเรื่องการเมืองเป็นหลักแต่ผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า -การลงทุนของนักลงทุนทั้ง 2 ประเทศจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด เพราะกลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ถือว่าเป็นนักลงทุนอันดับ 3 ของชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุดรองจากนักลงทุนญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรปเท่านั้น แม้หลายฝ่ายจะรีบออกมาการันตีอย่างทันทีทันด่วนว่าผลกระทบที่ตามมาจะไม่มีแน่นอน แต่ความเป็นจริงนั้นอาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งก็ได้

ทุนลอดช่องแห่เข้าไทยกว่า 250 ราย

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์พบว่า กลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์เป็นกลุ่มนักลงทุนหลักที่เข้ามาในไทยประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และหากแยกตามประเภทธุรกิจที่เข้ามาลงทุนตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2543 ถึงวันที่ 31ธันวาคม 2549 พบว่ามีนักลงทุนสิงคโปร์ให้ความสนใจมาลงทุนในประเทศไทยมากถึง 250 รายในธุรกิจหลัก 5 ประเภทด้วยกันคือ 1.)เป็นตัวแทนสำนักงานผู้แทน / สำนักงานภูมิภาคเป็นบริษัทลูกที่อยู่ในประเทศไทยรายงานความเคลื่อนไหวของตลาดในประเทศไทย ,จัดหาแหล่งสินค้าและรายงานความเคลื่อนไหวต่อบริษัทแม่ที่อยู่ในต่างประเทศ จำนวน 141 ราย 2.)ธุรกิจบริการเช่น การให้กู้ยืมเงินแก่บริษัทในเครือ , บริการให้เช่า, ให้เช่าแบบลีสซิ่ง , ให้เช่าซื้อทรัพย์สิน ,บริการซ่อมแซมสินค้า,เฉพาะยี่ห้อฯลฯ จำนวน 73 ราย 3.)ธุรกิจเป็นนายหน้าหรือตัวแทน ,ค้าปลีก , ค้าส่ง และบริการที่เกี่ยวเนื่องจำนวน 20 ราย 4.)ธุรกิจก่อสร้าง, บริการทางวิศวกรรม และบริการเป็นที่ปรึกษาโครงการให้ภาครัฐจำนวน 9ราย 5.)ธุรกิจบริการทางบัญชี ,บริการทางกฎหมายจำนวน 7 ราย

ปี’49ทุนสิงคโปร์สะพัดกว่า 2.8หมื่นล้าน

ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน( BOI )ระบุในชั้นคำขอส่งเสริมการลงทุนปี 2549 ระหว่างเดือนมกราคม – ธันวาคมมีนักลงทุนสิงคโปร์มายื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 86 รายจำนวน 108 โครงการมูลค่ากว่า 28,921 ล้านบาทมากกว่า 2548 ถึง 1เท่าตัวซึ่งเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวที่มียอดนักลงทุนมายื่นขอรับการส่งเสริมจาก BOI กว่า 110,476 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจที่นักลงทุนสิงคโปร์สนใจลงทุนโครงการในรอบปีที่ผ่านมาแบ่งเป็น

1.โครงการขนาดน้อยกว่า 50 ล้านจำนวน 34 โครงการมูลค่า 725.4 ล้านบาท

2.โครงการขนาด 50 -99ล้านบาทจำนวน 10 โครงการมูลค่า 748.4 ล้านบาท

3.โครงการขนาด100 -499ล้านบาทจำนวน 29 โครงการมูลค่า7,694.5ล้านบาท

4.โครงการขนาด 500 -999ล้านบาทจำนวน 4โครงการมูลค่า 2,898.4ล้านบาท

5.โครงการขนาดใหญ่ลงทุนมากกว่า 1,000ล้านบาทจำนวน 9โครงการมูลค่า 16,854.6 ล้านบาท อย่างไรก็ดี 86โครงการของนักลงทุนสิงคโปร์ข้างต้นยังสามารถแบ่งเป็นโครงการใหม่จำนวน 57 โครงการมูลค่า 11,315.3ล้านบาท และเป็นโครงการที่ขอขยายกิจการเพิ่มเติมอีกจำนวน 29 โครงการมูลค่า 17,606ล้านบาท

สิงคโปร์ ฮิตลงทุนภาคบริการ-อิเล็กฯ

สำหรับอุตสาหกรรมที่กลุ่มนักลงทุนสิงคโปร์ให้ความสนใจมากที่สุดคือธุรกิจภาคบริการจำนวน 33 โครงการมูลค่า 7, 741.5ล้านบาท ต่อมาคืออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวน 21 โครงการมูลค่า 14,549.1ล้านบาทรองลงมาคืออุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรจำนวน 20โครงการมูลค่า 4,680.2ล้านบาทอับดับต่อมาคืออุตสาหกรรมปิโตรเคมีและกระดาษจำนวน 8 โครงการมูลค่า 1,659.9ล้านบาทส่วนอันดับสุดท้ายคือ อุตสาหกรรมการเกษตรจำนวน 4 โครงการมูลค่า 290.6 ล้านบาท

โดยหากแบ่งแยกลงไปอีกพบว่ามีนักลงทุนจำนวน 20 รายที่เข้ามาลงทุนผลิตเพื่อการส่งออกระหว่าง 80-100 % ที่ผลิตได้ในประเทศไทย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 ที่นักลงทุนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนผลิตเพื่อการส่งออกมีจำนวน 22 โครงการแต่มีมูลค่าแค่ 5,377.9ล้านบาทซึ่งปี 2549 มีเงินทุนไหลเข้าสูงกว่าปี 2548 กว่า1 เท่าตัว อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าในปี 2549 ที่ผ่านมานักลงทุนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนผลิตเพื่อการส่งออกในสัดส่วน 100 % ของที่ผลิตได้จำนวน 15 โครงการมีมูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท

นอกจากนี้แล้วในจำนวนโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากBOI จำนวน62รายทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 6,000ตำแหน่งในจำนวนนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างนักลงทุนไทยและสิงคโปร์จำนวน14โครงการมูลค่ากว่า 630ล้านบาทท

เชื่อไม่กระทบการค้า-การลงทุน

ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าไทยกล่าวว่า ในเรื่องการเมืองคงจบกันไปแล้วเพราะเท่าที่ติดตามดูกระทรวงต่างประเทศของไทยก็ได้แสดงจุดยืนที่ไม่พอใจไปแล้ว ซึ่งคิดว่าหากไม่มีอะไรเพิ่มเพิ่มเติมนอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์คงจะกลับอยู่ในจุดเดิมไม่มีอะไรน่าห่วง

ขณะเดียวกันเชื่อว่าหากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ขยายวงกว้างจะไม่กระทบต่อการค้า-การลงทุนจากลุ่มทุนสิงคโปร์เพราะต้องยอมรับว่ากลุ่มทุนเหล่านี้เขามีความเป็นมืออาชีพแม้เกิดการประท้วงตามสถานที่ต่างๆของกลุ่มทุนสิงคโปร์ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ปกติในประเทศเสรีที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้คงไม่มีผลกระทบใดๆ

“ไม่มีเหตุผลอะไรที่กลุ่มทุนสิงคโปร์จะถอนทุน หรือย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น” ประธานสภาหอการค้า ระบุ

ชี้อาจกระทบกลุ่มทุนในตลท.-ธนาคารฯ

สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมไม่น่าจะมีผลกระทบอะไร ซึ่งเท่าที่สอบถามจากผู้ประกอบการสมาชิกส.อ.ท.ไม่มีใครทำธุรกิจโดยตรงกับสิงคโปร์ หรือร่วมทุนกัน และการลงทุนที่ผ่านน้อยมากที่นักลงทุนไทยไปประกอบธุรกิจที่ประเทศสิงคโปร์ แต่ในทางกลับกันกลุ่มทุนสิงคโปร์ต่างหากที่หลั่งไหลเข้าไทยจำนวนมาก

อย่างไรก็ดีปกติเรื่องการเมืองกับเรื่องธุรกิจแทบทุกประเทศจะต้องแยกออกจากกันอยู่แล้ว จึงคิดว่าปัญหาดังกล่าวน่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะหากจะบอกว่าจะเกิดการย้ายฐานการผลิตมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะทุนสิงคโปร์ที่เข้ามามีจำนวนมาก ทั้งประเทศไทยยังเป็นประเทศน่าลงทุนมากที่สุดหากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเชียนด้วยกัน

“ผลกระทบที่เกิดขึ้นหากจะมีน่าเป็นในส่วนตลาดทุน,กลุ่มไฟแนนซ์ โลจิสติกส์ ธนาคารต่างๆที่ทุนสิงคโปร์เข้ามามากกว่าสาขาอื่นๆ ซึ่งคาดว่าทุกฝ่ายกำลังรอดูท่าทีของรัฐบาลไทย”ประธาน ส.อ.ท.กล่าว

ชี้ ‘สิงคโปร์’จ่อย้ายฐานการผลิต

ขณะที่ รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ประธานโครงการอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับมองว่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ย่อมส่งผลกระทบต่อการค้า-การลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวแค่ไหน เพราะจากเหตุการณ์รัฐประหารจนถึงเหตุการณ์ปัจจุบันย่อมมีผลกระทบทั้งสิ้น แต่กรณีดังกล่าวเจาะจงลงไปว่าเป็นกลุ่มทุนจากสิงคโปร์เพราะบรรยากาศในประเทศไทยมองชาวสิงคโปร์เป็นศัตรูไปแล้ว

ดังนั้นเมื่อบรรยากาศในไทยไม่เอื้อต่อกลุ่มทุนสิงคโปร์เขาจะทนอยู่ทำไม เมื่อมีทั้งเงิน เทคโนโลยี ซึ่งสามารถย้ายฐานการผลิตได้ง่ายมาก และสอดคล้องกับการเคลื่อนย้ายทุนในยุคทุนนิยมเสรี ซึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้อาจจะได้ย้ายฐานไปประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย ที่เศรษฐกิจไม่ต่างกันมากที่พร้อมจะอ้าแขนรับและก็อาจจะสบายใจมากกว่าอยู่ในประเทศไทยด้วย

ไทยมอง ‘สิงคโปร์’เป็นศัตรู !

ประธานโครงการอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย้ำว่าการที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. และ ผบ.ทบ ให้สัมภาษณ์ว่าสิงคโปร์ได้ดักฟังโทรศัพท์ เรื่องดังกล่าวถือว่าร้ายแรงมากนะ เพราะท่าทีที่แสดงออกบอกชัดเจนว่าเรามองสิงคโปร์เป็นศัตรูทางการเมือง เป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจไปแล้วนักลงทุนสิงคโปร์ที่อยู่ในไทยเขาจะคิดอย่างไร

ดังนั้นบรรยาการลงทุนต่างๆในขณะนี้จึงไม่เอื้อต่อนักลงทุนจะเห็นได้จากปัจจุบันทั่วประเทศไทยเริ่มมีการประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนสิงคโปร์คงต้องดูสถานการณ์ไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งแนวโน้มว่าอาจจะไปสู่ถอนทุนในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะการตอบโต้ระหว่างรัฐต่อรัฐแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นในปัจจุบันและอาจจะขยายวงกว้างนำไปสู่ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นตามมาได้มากมาย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us