คนที่รู้จักสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ย่อมรู้ดีว่างานอดิเรกอย่างหนึ่งที่เขาทำมาเป็นเวลากว่า
30 ปี และยังคงทำต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าธุรกิจของเขาจะอยู่ในช่วงรุ่งเรือง
หรือต้องเผชิญกับวิกฤติก็คือการตระเวนหาซื้อรถเก่านำมาซ่อมใหม่ เพื่อเก็บสะสมไว้
รถที่สวัสดิ์สะสม ต้องเป็นรถหรูที่เคยได้รับความนิยมในอดีต ส่วนใหญ่เป็นรถยุโรป
ประกอบด้วย Benz, Rolls-Royce และ Bentley
รถหลายคันมีประวัติศาสตร์ เมื่อถูกนำมาอยู่ในมือของสวัสดิ์ ได้รับการดูแล
บำรุงรักษาอย่าง ดี จึงกลายเป็นของมีค่า ที่ไม่สามารถจะประเมินราคาได้
ปัจจุบันสวัสดิ์มีรถเหล่านี้สะสมไว้ประมาณ 50 คัน แบ่งจอดไว้ทั้งที่บ้าน
ย่านฝั่งธน ซึ่งเพิ่งสร้างโรงเก็บรถขึ้นมาใหม่ และที่ทำงาน อาคาร SM สี่แยกคลองตัน
บางคันยังอยู่ในอู่ซ่อม เพื่อรอทำให้รถซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี สามารถนำกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
สวัสดิ์เริ่มสะสมรถตั้งแต่เริ่มต้นมีรายได้จากการทำงาน เมื่อกว่า 30 ปีก่อน
"รถคันแรกที่ซื้อ สมัยยังเป็นวัยรุ่น อายุ 20 ปลายๆ เกือบ 30 ปี ก็เป็นรถมือสอง
ยี่ห้อ Vauxhall คันที่ 2 คือบ๊อกซ์เวิร์ด 2 ประตู ผมซื้อมา 8 พันบาท ขับเท่มาก
แต่อีกรุ่นก็คือ Nash ลอยลม แต่รุ่นนั้นเรายังไม่รวยพอ พอเสียแล้ว ไม่มีเงินซื้ออะไหล่
ก็เลยขายเป็นเศษเหล็กไป มาถึงวันนี้เมื่อนึกถึงยังเสียดายมาก"
พอเริ่มทำงานมีรายได้ดีขึ้น เขาจึงเริ่มหันมาจับรถหรูยี่ห้อดังจากยุโรป
สภาพของรถทุกคันที่เขาซื้อมา ส่วนใหญ่จะทรุดโทรมไม่ต่างจากเศษเหล็ก แต่ด้วยใจรัก
เขาค่อยๆ ส่งมันไปซ่อมยังอู่ที่รู้จัก และรู้ใจกันมานาน โดยใช้อะไหล่แท้จากเมืองนอก
ในห้องทำงานที่บ้านของเขา จะมีหนังสือคู่มือ และแคตตาล็อกของรถยี่ห้อดังๆ
และได้รับความนิยมทั้งในยุโรปและอเมริกา ตั้งแต่อดีต เขาจะใช้แคตตาล็อกเหล่านี้เป็นสื่อกลางในการติดต่อเพื่อสั่งซื้อชิ้นส่วนและอะไหล่
ในวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดพักผ่อนจากการทำงาน เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ
การดูแล ทำความสะอาดรถที่เขาสะสมไว้ บางครั้งก็นำออกไปขับตามท้องถนน เพื่อรักษา
เครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
"ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยซื้อรถใหม่ใช้แม้แต่คันเดียว"
เขาให้เหตุผลว่ารถรุ่นใหม่ที่ผลิตกันออกมา หากมองในเชิงคุณค่าแล้วเปรียบเทียบกับรถโบราณที่เขาสะสมไว้ไม่ได้
ที่สำคัญ รูปทรงของรถรุ่นใหม่ ถูกออกแบบมาไม่เหมาะกับสรีระของเขา ซึ่งเป็นคนร่างเล็ก
"เบนซ์รุ่นใหม่ราคา 12 ล้าน ผมลองไปนั่ง หัวผมโผล่มานิดเดียว ขับไปจะยกแขนขึ้นมาพาดก็เมื่อยตายชัก
แต่รถรุ่นเก่าเขาออกแบบมาเหมือนกับมีแท่นตั้งเอาไว้ ผมเข้าไปนั่งเห็นได้ถึงครึ่งตัว
ยกแขนพาดก็สบาย"
ทุกวันนี้ รถใหม่คันเดียวที่จอดอยู่ในบ้านของสวัสดิ์เป็นรถปิ๊กอัพอีซูซุ
ซึ่งภรรยาของเขาซื้อมาเพื่อใช้เป็นพาหนะ พาสุนัขไปหาหมอโดยเฉพาะ
รถที่เขาใช้เป็นประจำ ขับไปทำงาน ทุกวัน เป็นเบนซ์ 300 สีดำ 6 ประตู
รถคันนี้เคยเป็นรถประจำตำแหน่ง ของประธานาธิบดีเหงียน วัน เทียว ของเวียดนามใต้
ในช่วงปี 2518 ก่อนที่เวียดนามจะแตก รถคันนี้ได้ถูกส่งมาเก็บไว้ที่สถานทูตเวียดนามในประเทศไทย
เขาไปตามขอซื้อมาในภายหลัง
"ซื้อมา 2 ล้านกว่า เกือบ 3 ล้าน แต่ซ่อมไป 10 ล้าน พูดไปคนก็ไม่เชื่อ
ซื้อรถเก่าต้องใช้เงินถึง 13 ล้าน แต่รถรุ่นนี้ จอห์น เลนนอน ของบีทเทิลก็ใช้ก่อนตาย
และทุกวันนี้ก็มีการเสนอประมูลซื้อเข้าไปที่ลอนดอน ให้ราคา 1 ล้านปอนด์ ก็
60 กว่า ล้านบาท"
นอกจากรถของอดีตประธานาธิบดีเหงียน วัน เทียวแล้ว ที่บ้านของเขา ยังมีรถ
Bentley รุ่นปี 1940 กว่าๆ คันหนึ่งจอดไว้
รถคันนี้เป็นของพระองค์เจ้าพีระฯ ซึ่งสวัสดิ์ต้องไปตามซื้อคืนมาจากลอนดอน
ประเทศอังกฤษ
"คันนี้กว่าจะได้มา ต้องขอความร่วมมือจาก ราชยานยนต์สยาม ผมไปชี้แหล่ง
แล้วให้เขาซื้อโดย ใช้เงินของผม เพราะผมไม่ต้องการให้บอก พอซื้อเสร็จก็นำไปตระเวนทั่วประเทศไทย
ประกาศว่าเป็น ของพระองค์เจ้าพีระฯ แล้วมาเปิดประมูล ผมก็ประมูลกลับมา เท่ากับผมเสียเงิน
2 ต่อ รวมเกือบ 20 ล้านบาท"
และยังมีรถเบนซ์อีกคัน ทะเบียน 2ก-6081 ซึ่งเคยเป็นรถประจำตัวของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
สวัสดิ์ให้เหตุผลของการให้ความสนใจสะสม รถเก่าว่าเป็นแรงขับเคลื่อน (drive)
อย่างหนึ่งของชีวิต ที่ผลักดันให้เขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาซื้อรถที่อยากได้
"ตอนเด็กๆ เห็นพี่เขยที่มาจีบพี่สาวเขาขับ Oldsmobile สมัยนั้นรถซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศไทย
ส่วนใหญ่เป็นรถอเมริกันคันใหญ่ๆ ผมก็คิดในใจว่าอย่าให้ผมรวย ถ้าผมรวยขึ้นมาสักวัน
จะซื้อมันเสียให้เข็ด"
เขายอมรับว่า จากแรงขับที่เกิดขึ้นดังกล่าว มีผลทำให้ในช่วงชีวิตหนึ่ง
เขาเคยเป็นคนที่รวยมาก เป็นการรวยจากทุ่มเทแรงกาย มันสมอง และเวลาให้กับกิจการที่เขาเป็นผู้เริ่มต้นสร้างขึ้นมากับมือ
ชีวิตในช่วงนี้เอง ที่เขาหมดเงินไปกับการหาซื้อรถนับ 10 ล้านบาท
"มันเป็นเหมือนรางวัลชีวิต คุณทำงานหนัก เมื่อคุณประสบความสำเร็จ คุณก็ต้องอยากให้อะไรกับตัวเองบ้าง
สำหรับผม รถเหล่านี้คือรางวัลที่ผมซื้อให้กับชีวิต"
และก็รถเหล่านี้อีกเช่นกัน ที่ทำให้สังคมและเจ้าหนี้เข้าใจเขาผิด เมื่อเข้าต้องเป็นหนี้สิน
จากธุรกิจ ที่ประสบปัญหา
"คนไม่เข้าใจ ก็มาว่าเรา เขาไม่รู้ว่าของเหล่านี้ เราซื้อตอนเรารวย ไม่ใช่ซื้อตอนมีปัญหา
แล้วตอนมีปัญหาจะให้ผมไม่ใช้เลยก็ไม่ได้ เพราะรถพวกนี้ถ้าผมจอดทิ้งไว้ ไม่ยอมเอามาใช้
มันก็ต้องเสียหาย"
เขายกตัวอย่างเพื่อนของเขาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักธุรกิจและต้องประสบกับวิกฤติค่าเงินบาทเช่นกัน
เพื่อนคนนี้เคยมีรถ Rolls-Royce คันหนึ่ง แต่ช่วงที่เป็นหนี้มากๆ ไม่กล้านำออกมาขับ
เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น อยากนำรถ Rolls-Royce ออกมาใช้ ต้องเสียเงิน ซ่อมไปนับแสนบาท
ตลอดเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปของเขา
ต้องประสบปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเงิน เขาต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อ หาทางออกให้กับบริษัท
และบ่อยครั้งที่เขาเครียดมาก
"ก็ได้รถเหล่านี้แหละ ที่ทำให้เราอารมณ์ดี สบายใจ เป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ไว้สำหรับสร้างความ
สุนทรีให้กับชีวิต"
เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาเข้ามาดูแลรักษารถ เขาได้เกิดแรงบันดาลใจ ซึ่งท้าทายให้เขายิ่งต้องทำงานหนัก
เพื่อให้ชีวิตสามารถผ่านพ้นขึ้นจากจุดวิกฤติ
"หลายคนบอกว่าตอนผมเอารถเหล่านี้ออกไปขับ เหมือนกับท้าทายเจ้าหนี้ ทำให้คนหมั่นไส้
เขาไม่รู้หรอกว่าที่ผมทำไป ผมกำลังท้าทายตัวเอง"
ณ วันนี้ สถานการณ์ต่างๆ ได้คลี่คลายลงด้วยดี สวัสดิ์ได้สร้างความฝัน สำหรับรถเหล่านี้ไว้เพิ่มขึ้นอีกว่า
สักวันหนึ่งเขาจะหาซื้อที่ดินสัก 30-40 ไร่ สร้างเป็น car gallery นำรถทุกคันที่เขามี
รวมถึงรถของพรรคพวกที่มีรสนิยมเดียวกัน ไปจอดโชว์ไว้ เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ยังมีรถอีก 1 คันที่เขาอยากจะซื้อมาเก็บไว้เป็นสมบัติ
"เป็นรถของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นเบนซ์เปิดประทุน อยู่ที่เยอรมนี ลูกหลานเขาเก็บเอาไว้
เขารอว่าผมรวยอีกเมื่อไร เขาจะขายให้ผม กะว่าจะขายประมาณ 1 ล้านเหรียญ หรือประมาณ
50-60 ล้านบาท ผมติดต่อเขาไว้นาน แล้ว จริงๆ รถคันนี้มันควรจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์แล้ว
แต่ว่ามันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา"