|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เปิดสัมพันธ์ลึก "ทักษิณ - CNN" ในยุคที่เรืองอำนาจเคยใช้งบหลวงจ้าง CNNโฆษณาโครงการบัตร "อีลิทการ์ด"โดยไม่ต้องมีสัญญา หลังถูกตรวจสอบยอมลดจาก 200 ล้านบาทเหลือเพียง 149 ล้าน ด้านพรรคปชป.ส่ง "แม่เลี้ยงติ๊ก" เข้าร้องคตส.สอบพฤติกรรมฉาวด่วน ระบุ CNN เป็นกระบอกเสียงโจมตี รัฐบาล-คมช.ครั้งนี้ ถือเป็น "เพื่อนช่วยเพื่อน"หรือบุญคุณต้องตอบแทน!
เชื่อว่าหลายๆคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาโดยตลอด คงจะนึกสงสัยอยู่รำไรว่าทำไม!? พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จึงมีอิทธิพลมากพอในการเลือกใช้สื่อระดับโลกอย่าง CNN เป็นเวทีเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง และกดดันรัฐบาลไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนในที่สุดผลพวงจากการเดินเกมรุกรัฐบาล ตลอดจนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ไม่เพียงแต่สร้างปัญหาภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังลุกลามกระทบไปถึงความสัมพันธ์ในทางการทูตระหว่างไทยและสิงคโปร์จากที่ได้ดำเนินมาอย่างยาวนาน...
การเปิดเกมรุกกลับคมช.และรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยอาศัยสื่อระดับโลกเป็นเครื่องมือในครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นการตอบโต้ที่ได้ผลทันตาเห็น เนื่องจากทั้งคมช.และรัฐบาลต่างตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเห็นได้ชัด แม้ล่าสุดรัฐบาลจะใช้ไม้แข็งตอบโต้รัฐบาลสิงคโปร์ จนกลายเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลสองประเทศไปแล้วก็ตาม จนปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเดินหน้า เดินสายใช้สื่อระดับโลกโจมตี และดิสเครดิตรัฐบาลและคมช.อย่างต่อเนื่อง ...
เปิดสัมพันธ์ลึก " ทักษิณ - CNN"
การใช้สำนักข่าวชื่อดังระดับโลกอย่าง CNN ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ในการเป็นเวทีเคลื่อนไหวเพื่อโจมตีรัฐบาลไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นโดยทั่วไปแล้วย่อมเกิดขึ้นได้ เนื่องจากประเทศสิงคโปร์ถือเป็นแหล่งรวมของสำนักข่าวจากทั่วทุกมุมโลกอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อ "อดีตนายกฯพลัดถิ่น" ของไทย ที่หลุดจากอำนาจไปด้วย "เหตุยึดอำนาจ"ไปเยือน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความเคลื่อนไหวของเขาจะอยู่ในความสนใจของสื่อ จนถูกนำเสนอต่อสายตาชาวโลกออกมาในที่สุด
อย่างไรก็ตามการเลือกสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นมาเป็นเครื่องมือของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขายข่าวครั้งนี้ ไม่อาจใช้หลักการ "ข่าว"หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์มาวิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ได้เพียงมุมเดียว เพราะในข้อเท็จจริงแล้วการที่ซีเอ็นเอ็นเลือกสัมภาษณ์พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ควรมองข้ามไปอย่างยิ่ง เนื่องจากแม้ตัวพ.ต.ท.ทักษิณ จะว่าจ้าง 2 บริษัทประชาสัมพันธ์ยักษ์ใหญ่ คือ บริษัท บาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส จำกัด(บีจีอาร์) และบริษัท เอเดลแมน ออฟ นิวยอร์ค ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้พ.ต.ท.
ทักษิณ ได้กลับประเทศไทยโดยอาศัยช่องทางต่างๆรวมทั้งการผ่าน สื่อระดับโลกอยู่แล้วก็ตาม แต่ยังพบว่าในข้อเท็จจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท. ทักษิณ กับ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น มีความแนบแน่นกันมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วง "ทักษิณ1"เมื่อ4 ปีที่ผ่านมา
การเริ่มต้นความสัมพันธ์ของอดีตนายกฯผู้นี้กับสำนักข่าวดังเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการอนุมัติโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ หรือ Thailand Privilege Card หรือที่รู้จักกันในนาม "อีลิทการ์ด"ซึ่งเสนอโครงการโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2546 เรื่องที่ 36
"อีลิทการ์ด"จุดเชื่อมโยง
โครงการดังกล่าวนี้โด่งดังเป็นพลุแตกเนื่องจากมีการตั้งเป้ายอดขายบัตรสมาชิกไว้ในจำนวนที่ค่อนข้างสูง โดยมีเป้าหมายการจัดจำหน่ายบัตรใบละ 1 ล้านบาท ให้ได้ 1 ล้านใบภายใน 5 ปีคิดเป็นรายได้ที่จะเข้าประเทศทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้านล้านบาทเป็นขั้นต่ำ เน้นกลุ่มเป้าหมายจากนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวในกลุ่ม Hi-end มีกำลังซื้อสูงจากประเทศต่างๆทั่วโลก
ในการนี้ได้มีการจัดตั้งบริษัท Thailand Privilege Card จำกัด (TPC) ขึ้นเพื่อรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยขณะนั้นจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่รักษาการประธานบริหารบริษัท โครงการดังกล่าวนี้ได้มีการเสนอสิทธิประโยชน์มากมายและที่ถูกเน้นย้ำอยู่เสมอก็คือการมีสิทธิ์เล่นกอล์ฟฟรี 18 หลุม ใช้บริการนวดแผนไทยจากสปาคุณภาพ 1.30 ชั่วโมงพร้อมบริการตรวจสุขภาพฟรีจากโรงพยาบาลมาตรฐานและส่วนลดพิเศษจากบริการต่างๆทั้งที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ร้านอาหาร แต่สิ่งที่ดึงดูดใจสมาชิกของบัตรอีลิทการ์ดกลับอยู่ที่การให้สิทธิประโยชน์ด้านอสังหาริมทรัพย์แก่ชาวต่างชาติ
แต่จนแล้วจนรอดโครงการนี้ก็ไม่สามารถที่จะขายบัตรสมาชิกได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ที่สำคัญการดำเนินโครงการตามโครงการต่างๆสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติด้วยการขาดทุนสะสมมาจนถึงวันนี้เป็นเงินสูงถึง 1,000 ล้านบาท
จ้าง CNN แต่ไร้สัญญา !
การจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดนั้น มีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ถือหุ้น 100% โดยครม.ได้อนุมัติงบประมาณที่ผ่านมาจำนวน 500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณด้านการโฆษณาและการตลาดจำนวน 250 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงบในส่วนของการจัดตั้งบริษัท บุคลากรและพัฒนาการบริการทั้งหมด ซึ่งในส่วนของงบโฆษณานั้นที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์กับบริษัท แซสโซ จำกัดไปแล้วมูลค่า 110 ล้านบาท
สำหรับกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับซีเอ็นเอ็นนั้น เกิดขึ้นในสมัย จุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นรักษาการประธานกรรมการบริษัท เนื่องจากตัวแทนบริษัท ไทย เรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนขายโฆษณาของบริษัท ซีเอ็นเอ็น ได้ส่งบิลเรียกเก็บค่าโฆษณาบัตรไทยแลนด์อีลิท การ์ดมายังบริษัท คิดเป็นเงินจำนวน 200 ล้านบาท โดยที่ไม่มีสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแต่ประการใด แต่ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นได้ให้เหตุผลในการว่าจ้างโดยไม่มีสัญญาเนื่องจากเป็นช่วงเร่งด่วน แต่ไม่ได้เกิดจากการทุจริต หากใช้การจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนจะทำให้เกิดความล่าช้า
ทั้งนี้กรณีดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นปัญหาและถูกนำไปพิจารณาในคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนฯ ในเวลานั้น โดยคณะกรรมาธิการฯได้เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง
อดีตกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ ยุครัฐบาลทักษิณ ระบุกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"ว่ากรณีดังกล่าวนี้ได้มีการตรวจสอบมาแล้วระดับหนึ่ง นับจากที่มีการวางบิลค่าโฆษณาจากซีเอ็นเอ็นกับบริษัทไทยพริวิเลจ จำกัด และเรียกจุฑามาศ ศิริวรรณ เข้ามาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2547
"ในตอนนั้นเป็นข่าวโด่งดังมากทำให้เราได้ทราบพฤติกรรมต่างๆที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีโครงการต่างๆผุดขึ้นมากมายและแต่ละโครงการใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น ที่สำคัญเรายังได้เห็นถึงพฤติกรรมที่อดีตนายกฯใช้เงินแผ่นดินเพื่อสร้างเครดิตให้กับตัวเองและสามารถใช้เครดิตนั้นมาได้จนถึงวันนี้"
ควักเงินรัฐจ่ายค่าโฆษณา 149 ล้านบาท
แหล่งข่าวอธิบายต่อไปว่า ในการดำเนินงานของบริษัทไทยแลนด์พริวิเลจ นั้นได้มีการวางแผนด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆมากมายและหนึ่งในโครงการนั้นก็คือการจ้างเครือข่ายของซีเอ็นเอ็นโฆษณาโครงการด้วยงบประมาณถึง 200 ล้านบาท ซึ่งการจ้างซีเอ็นเอ็นนั้นบริษัทฯไทยพริวิเลจได้ซื้อโฆษณาผ่านบริษัทไทยเรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด ซึ่งเป็นเอเจนซี่ตรงจากซีเอ็นเอ็น
สำหรับบริษัท ไทย เรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด ( THAI REPRESENTATION ) เป็นตัวแทนขายโฆษณาของเครือข่ายทีวีดังระดับโลกไทม์อิ้งและซีเอ็นเอ็น มีดร. แอนโทนี เซอร์มา เป็นกรรมการผู้จัดการ ได้ส่งบิลเรียกเก็บเงินค่าโฆษณาบัตรไทยแลนด์ อีลิท มายังบริษัทคิดเป็นจำนวนเงินร่วม 200 ล้านบาท โดยไม่มีสัญญาในการจัดซื้อจัดจ้างแต่ประการใด
"เรื่องนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากเพราะในราวเดือนกรกฎาคม 2547 ซีเอ็นได้วางบิลมาเก็บค่าโฆษณาจากบริษัทไทยพริวิเลจ จำนวน 200 ล้านบาท ขณะที่มีการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่พบว่ามีสัญญาการว่างจ้างดังกล่าว"
แหล่งข่าว อธิบายต่อว่า ช่วงนั้นคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการเชิญบุคคลต่างๆเข้ามาชี้แจงโดยเฉพาะอดีตผู้ว่าการ ททท.แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้จนในที่สุดคณะกรรมาธิการชุดนั้นก็หมดวาระลง จากนั้นเรื่องที่กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่นี้ก็เงียบหายไปด้วย
"มาทราบอีกทีก็เมื่อมีการสั่งจ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับซีเอ็นเอ็นแล้วจำนวน 149 ล้านบาทคือซีเอ็นเอ็นเขารู้ว่าไม่ได้ทำสัญญาไว้ก็เลยลดราคาจาก 200 ล้านมาเป็น 149 ล้านบาท คุณคิดดูว่าคนที่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินขนาดนั้นได้จะเป็นใคร"แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าว ได้วิเคราะห์ว่า จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันดีระหว่างทักษิณ ชินวัตรและซีเอ็นเอ็นจึงได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนั้น
เมื่อมาจิกซอร์ระหว่างตัวอดีตนายกฯทักษิณกับซีเอ็นเอ็นเข้าด้วยกันก็จะเห็นการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีได้ และทำให้สังคมสามารถตอบข้อสงสัยได้ว่าทำไม "ทักษิณ ชินวัตร" ถึงสามารถใช้สื่อยักษ์ใหญ่อย่างซีเอ็นเอ็น เป็นเวทีเคลื่อนไหวตอบโต้รัฐบาลไทยซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และทำไมต้องเลือกใช้ประเทศสิงคโปร์เป็นฐานในการเคลื่อนไหว
"การเปิดโอกาสให้คุณทักษิณได้มีโอกาสได้ออกข่าวผ่านสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นนั้นจึงเป็นการได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย คือตัวคุณทักษิณ ได้ออกสื่อระดับโลกตอบโต้คมช. ขณะที่ซีเอ็นเอ็นเอง ก็ยินดีที่จะให้ช่องทางเผยแพร่ข่าวอยู่แล้ว เพราะเคยทำงานกันมาก่อนเคยให้ประโยชน์กันมาก่อน "
แหล่งข่าวระบุและชี้ว่าดังนั้นการที่ซีเอ็นเอ็น เลือกที่จะสัมภาษณ์พ.ต.ท.ทักษิณ เผยแพร่ทั่วโลกเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงแต่ต้องการนำเสนอข่าวของบุคคลพิเศษเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนเรื่องของ เพื่อนช่วยเพื่อน เพียงแต่ครั้งนี้หากต้องมีการจ่ายเงินเพื่อแลกกับนาทีทองของช่องซีเอ็นเอ็น อาจเป็นเงิน "ส่วนตัว"ของอดีตนายกฯทักษิณ เอง
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้หยิบยกประเด็นการพ.ต.ท.ทักษิณ และ CNN มาพิจารณา เพราะในยุคนั้นมีส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นกมธ.ชุดนี้ด้วย ซึ่งมีเอกสาร ข้อมูล หลักฐานอย่างละเอียด โดยพรรคจะมอบหมายให้ ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู กรรมการบริหารพรรคประชาธิปตย์ นำข้อมูลและหลักฐานที่ส่อไปในทางไม่ชอบจากการใช้เงินจากโครงการอีลิทการ์ด ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ในวันที่ 25 ม.ค.2550นี้ เพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป
"ตามปกติแล้ว คนอย่างคุณทักษิณ รู้จักการใช้สื่อเป็นอย่างดี และที่ดีไปกว่านั้นคือการนำเงินของหลวงมาใช้เพื่อซื้อเวลาสร้างภาพของตัวเองให้มากที่สุด แต่ครั้งนี้ถึงจะเป็นอดีตนายกฯพลัดถิ่น ทุกคนก็ยังรู้ดีว่าเขามีเงินมากพอที่จะจ่ายให้ทุกคนที่เขาจ้าง" แหล่งข่าวระบุ
***************
คำต่อคำ “ทักษิณ” สัมภาษณ์CNN สะเทือนคมช.คำต่อคำเปิดใจไม่เกี่ยวบึ้ม 8 จุดกทม.-ยันไม่ผิดคดีเทมาเส็ก
เปิดคำต่อคำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับรายการทอล์ค เอเชีย ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ตอบทุกข้อซักถามและข้อสงสัยรวมทั้งข่าวลือในประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีการออกอากาศในประเทศไทย และทางซีเอ็นเอ็นได้นำเทปดังกล่าวมาออกอากาศในฉบับเต็มอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เวลา 7.30 น.โดยมีคำสัมภาษณ์ดังนี้
ขอเริ่มจากข้อกล่าวหามากมายที่ว่าคุณอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วุ่นวายในไทย
เป็นข้อกล่าวหาที่ปราศจากหลักฐานอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครเชื่ออย่างนั้นเพราะทุกคนรู้จักผมและรู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ผมมาจากการเลือกตั้ง มาจากประชาชน ผมเป็นหนี้บุญคุณประชาชน ผมทำทุกอย่างที่จะส่งผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน ผมไม่ทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้น
คุณคิดว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
มีหลายสมมติฐาน บางสมมติฐานโยงเรื่องดังกล่าวเข้ากับเหตุความรุนแรงในภาคใต้ของไทย และบางสมมติฐานก็เชื่อมโยงผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อให้คนเชื่อว่าเหตุการณ์ขณะนี้ยังไม่ปกติ แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดผู้ก่อเหตุสมควรถูกประณามอย่างรุนแรง
นี่เป็นครั้งแรกที่ให้สัมภาษณ์สื่อหลังเหตุปฏิวัติในไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา รู้เรื่องปฏิวัติเมื่อไหร่
ผมเพิ่งทราบก่อนเกิดเหตุเพียง 4-5 ชั่วโมง และได้พยายามที่จะติดต่อกับสถานีโทรทัศน์ซึ่งทำได้ยากลำบากมากในขณะนั้น จนกระทั่งได้ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 สั้นๆ ก่อนหน้านั้นมีข่าวลืออยู่ตลอดเวลา แต่ผมไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21
ผมประหลาดใจมาก สำหรับประเทศที่มีประชาธิปไตยมา 70 ปี และมีการปฏิวัติเกิดขึ้น 17 ครั้ง มันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในไทย
คุณพูดอย่างไรเมื่อคุณทราบว่าถูกขับออกจากตำแหน่งจริงๆ
คุณรู้ไหม ผมเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา เมื่อจบก็คือจบ ผมเข้าใจ เคารพ และเล่นตามกติกา เมื่อมันผ่านการลงนามรับรองแล้ว ผมก็รู้ว่าผมต้องใช้ชีวิตอย่างประชาชนธรรมดา และปล่อยให้คนอื่นทำงานของเขา ผมแค่อยากจะให้กำลังใจพวกเขา การบริหารประเทศเป็นเรื่องยากมาก แม้ว่าผมจะไม่ชอบวิธีหรือแนวทางของเขา แต่ในฐานะประเทศ ผมอยากให้ประเทศไทยสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นและก้าวต่อไปข้างหน้า ดังนั้นผมจึงแค่อยากให้กำลังใจเพื่อให้พวกเขาทำดีที่สุดเพื่อประเทศของเรา
การขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับเทมาเส็กของสิงคโปร์ ทำให้เกิดการโต้เถียงอย่างมากและนำไปสู่การเดินขบวนประท้วงคุณอย่างกว้างขวาง คุณคิดว่าอะไรคือความผิดพลาด
ผมเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อเล่นกอล์ฟและพบกับเพื่อนเก่าบางคนก็แค่นั้น ผมไม่ได้มีแรงจูงใจทางการเมืองใดๆ ก็อย่างที่ผมพูดไปว่าผมไม่ได้มีความทะเยอทะยานทางการเมืองอีกแล้ว ผมต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ และต้องการกลับบ้านเกิด กลับไปอยู่กับครอบครัวของผม นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ ข้อกล่าวหาต่างๆ เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองที่นำมากล่าวหาผมและเป็นข้อแก้ตัวสำหรับการปฏิวัติ
คุณคิดว่าคุณควรจ่ายภาษีหรือไม่
เรื่องภาษีมันมีสองส่วนด้วยกัน การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แล้วได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้ แม้ว่าคุณต้องการจ่ายภาษีคุณก็จ่ายไม่ได้ เพราะมันได้รับการยกเว้นโดยกฎหมาย ใครก็ตามที่ขายหุ้นของตนเองในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีเรื่องภาษีมาเกี่ยวข้องทั้งนั้น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่ามากกว่า 1-9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐมาก แต่ก็ไม่เคยมีการจ่ายภาษีเช่นกันเพราะกฎหมายยกเว้น มันไม่ใช่เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือคุณจะต้องจ่ายภาษีหรือไม่ ภาษีไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้น
คุณก็ต้องเข้าใจว่าคนคิดอย่างนั้น
นั่นเป็นการกล่าวหาเพื่อผลทางการเมือง พวกเขาต้องการสร้างภาพว่าคุณเป็นพวกไม่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่ความจริงคือคุณต้องทำตามกฎหมาย หากกฎหมายบอกว่าคุณต้องจ่ายภาษีคุณก็ต้องจ่าย แต่เมื่อกฎหมายระบุว่าคุณไม่ต้องเสียภาษีเพราะเป็นหนึ่งในมาตรการจูงใจให้บริษัทต่างๆ เข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะบริษัทเหล่านั้นต้องจ่ายภาษีจากผลกำไรของบริษัทอยู่แล้ว
จะกลับไปให้ปากคำที่เมืองไทยหรือไม่
หากผมต้องไปให้ปากคำ แต่เหตุผลที่ผมไม่กลับไปในขณะนี้ก็เพราะผมต้องการให้เกิดความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันในประเทศ ผมต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าในกระบวนการปรองดอง ผมต้องการให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่อย่างที่เกิดขึ้นที่มีการกล่าวหาระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศ เราต้องนำความเชื่อมั่นกลับมา
คุณเรียกร้องให้มีความสามัคคีปรองดองในไทย คุณคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในไทยขณะนี้
ผมมีความเชื่อมั่นต่อพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจิตวิญญาณที่รู้จักให้อภัยในวัฒนธรรมไทย ผมต้องการเห็นการนิรโทษกรรมให้กับคนไทยในอดีตกับความก้าวร้าวรุนแรงที่เกิดขึ้น ขณะนี้เป็นเวลาสำหรับการปรองดองและสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ หากสิ่งนี้เกิดขึ้นนั่นหมายถึงสิ่งต่างๆ กลับสู่สภาวะปกติ หากผมสามารถกลับประเทศไทยได้ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าของผมคือการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมาอีกครั้ง ผมไม่ต้องการกลับไปเพื่อสร้างปัญหา ผมต้องการกลับไปเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวสำหรับคนไทย
คุณจะกลับไปสู่เวทีการเมืองอีกหรือไม่
ไม่ พอก็คือพอ หกปีที่คุณรับใช้ประเทศชาติ คุณต้องทำงานหนัก ต้องเสียสละทั้งเวลา ชีวิต หรือแม้แต่ชีวิตครอบครัว ขณะนี้เป็นเวลาที่ผมจะกลับไปในฐานะประชาชนธรรมดา และอุทิศตนให้กับสังคมไทยนอกเวทีการเมือง
เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ กองทัพอาจจะไม่อนุญาตให้การให้สัมภาษณ์ของคุณออกอากาศในไทย
โปรดบอกเขาว่าอย่าหนักใจเรื่องผม ไปหนักใจเรื่องประชาชนและประเทศชาติ ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า สร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาและนำประชาธิปไตยกลับสู่คนไทย นั่นคือภารกิจหน้าที่ของเขาอย่างมาห่วงเรื่องผมเลย ผมจะไม่สร้างปัญหา บางครั้งพวกเขาเป็นกังวลเกี่ยวกับผมมากเกินไป
สำหรับข้อกล่าวหาเกี่ยวกับว่าคุณคอร์รัปชั่นอย่างมากในไทย ใช้อำนาจโดยมิชอบ ละเมิดกฎหมาย
มันเป็นข้อกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน เป็นแค่เครื่องมือทางการเมือง ผมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จนถึงขณะนี้พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานใดๆ ที่เป็นรูปธรรมต่อผมได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงข้อกล่าวหาเท่านั้น
คุณแต่งตั้งญาติของคุณเป็นผู้บัญชาการทหาร นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีข้อโต้เถียงหรือ
ผมคงไม่สามารถแต่งตั้งญาติขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้หากเขาไม่มีคุณสมบัติที่ครบถ้วน เพราะเรามีกฎ กติกา มารยาท แม้ว่าเขาจะเป็นญาติของผม แต่เขาก็ได้รับการเลื่อนชั้นตามสายวิชาชีพจนเป็นนายพลก่อนที่ผมจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ
ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งในเดือนเมษายน ที่ศาลระบุว่าพรรคไทยรักไทยของคุณละเมิดกฎหมาย
ไม่ ไม่มีคำตัดสินของศาล แต่มีการสอบสวนภายใต้ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ซึ่งผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหา ผลการเลือกตั้งไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่พรรคฝ่ายค้านบอยคอตการเลือกตั้งทั้งที่พวกเขาไม่มีสิทธิใดๆ ในทางประชาธิปไตยที่จะทำเช่นนั้น
อนาคตของพรรคไทยรักไทยจะเป็นอย่างไร จะยุบพรรคหรือไม่
ขณะนี้ผมเป็นแค่สมาชิกพรรคเพราะผมลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคไปแล้ว อนาคตของพรรคไทยรักไทยขึ้นกับสมาชิกทั้งหมดและผู้บริหารพรรคซึ่งพวกเขาจะต้องจัดประชุมพรรคเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของพรรค แต่นั่นก็ขึ้นกับสมาชิกพรรคทั้ง 14 ล้านคนที่เรามีด้วย
ในเดือนมิถุนายนคุณพูดว่ามีผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่พยายามต่อต้านคุณ หมายถึงใคร
ผมพูดถึงใครบางคนที่พยายามชักใยอยู่เบื้องหลังทำให้ผมไม่สามารถสั่งการเจ้าหน้าที่รัฐบาลให้ทำในสิ่งที่เขาสมควรจะทำได้
คุณหมายถึง พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) ประธานองคมนตรี ใช่หรือไม่
ผมไม่ต้องการระบุชื่อใครเป็นการเฉพาะ แต่ผมหมายถึงใครก็ตามที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง และทำให้ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีผมไม่สามารถทำงานได้ เพราะเขาพยายามปัดแข้งปัดขาผม และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมพูดอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตามเราควรปล่อยให้สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านพ้นไป
ในเดือนสิงหาคม พบคาร์บอมบ์ใกล้บ้านของคุณซึ่งถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะลอบสังหารคุณ คุณยังรู้สึกหวาดกลัวหรือไม่
ทุกคนมีคนที่เราห่วงใย ทุกคนมีครอบครัวที่เราจะต้องดูแล ผมไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเอง แต่ผมคิดถึงลูกของผม พวกเขายังเด็กและต้องได้รับการดูแล อย่างไรก็ตามคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าพระเจ้าจะพรากชีวิตของคุณเมื่อไหร่ก็ได้
มีการกล่าวหาว่าใช้มาตรการรุนแรงในการแก้ปัญหาภาคใต้และทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
คุณต้องเข้าใจเรื่องไม้แข็งไม้อ่อน สำหรับพวกอาชญากรคุณต้องใช้ไม่แข็ง แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนดี หรือผู้ที่อาจหลงผิด คุณต้องใช้ไม้อ่อน นี่คือวิธีที่ผมใช้แต่บางครั้งพวกเขาก็เพ่งมองไปที่ไม้แข็ง ทั้งที่ในความเป็นจริงหลายอย่างที่ผมทำก็คือไม้อ่อน
สงครามยาเสพติดก็ทำให้คนตายกว่า 2,700 คนในเวลาเพียง 7 สัปดาห์
ไม่ใช่เรื่องจริง ทุกๆ ปีมีอาชญากรจำนวนหนึ่งที่ตายเนื่องจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่แค่เรื่องยาเสพติด พวกเขาพยายามนำตัวเลขทุกอย่างมารวมกัน ความจริงนโยบายของผมชัดเจน เราไม่เคยใช้ความรุนแรงแต่ทุกอย่างเป็นไปภายใต้กรอบของกฎหมาย ผมบอกทุกคนให้ยึดมั่นตามกรอบกฎหมายเป็นสำคัญ
สามารถพูดได้ไหมว่าไม่เคยละเมิดกฎหมาย
ผมไม่เคยทำ แต่เวลาทำงานผมมีความแน่วแน่และต้องการให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ผมไม่เคยตั้งกฎหมายหรือวางกรอบใดๆ ขึ้นมาเอง ผมไม่ใช่เผด็จการ ผมมาจากประชาชน จากการเลือกตั้ง ถ้าผมไม่ดี ประชาชนคงไม่เลือกผมเข้ามาอย่างถล่มทลาย
|
|
|
|
|