Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 มกราคม 2550
กรุงศรีฯคาดปี50โบรกกำไรลด24%3ปัจจัยเสี่ยงกดดันดัชนี-วอลุ่มตลาดวูบ             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา

   
search resources

Funds
กรุงศรีอยุธยา, บล.




บล.กรุงศรีฯ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/49 กลุ่มหลักทรัพย์ 479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากงวดเดียวกันปี 48 เหตุมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ทั้งปี 49 กำไรสุทธิลดลง 3% อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท พร้อมปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 50 ลง 24% เหลือ 2.2 พันล้านบาท เหตุได้รับผลกระทบมาตรการเก็งกำไรค่าเงินบาท เหตุการณ์ระเบิด และพ.ร.บ.ต่างด้าว กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย ทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์ไม่น่าสนใจเข้าลงทุน

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กรุงศรีอยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ประเมินฐานะการดำเนินงานหุ้นในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ (บล. 12 แห่ง) ว่า ไตรมาส 4/2549 คาดว่ากลุ่มหลักทรัพย์จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 34% เป็น 497 จากไตรมาส 4/2548 ที่มีกำไรสุทธิ 369 ล้านบาท เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วงไตรมาส 4/49ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 15,900 ล้านบาท จากไตรมาส 3/49 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 13,000 ล้านบาท

จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้รายได้ด้านค่านายหน้ารวมของกลุ่มหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2,049 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาส 3/49 ที่มีรายได้ 1,766 ล้านบาท รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมของกลุ่มหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16% เป็น 364 ล้านบาท จากไตรมาส 3/49 ที่มีรายได้ 313 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามจำนวนบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มสูงขึ้น และการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/49 นี้ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS คาดว่าจะเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นที่สุด คือ กำไรสุทธิไตรมาส 4/49 จำนวน 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 57% จากการที่ส่วนแบ่งการตลาดและรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่ม

"จากรายได้ค่านายหน้ารวมปี 2549 ของกลุ่มหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 9% เหลือ 8.64 พันล้านบาท จากปีก่อน แต่จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่กลับมาเติบโตที่เพิ่มขึ้น 6%เป็น 1.4 พันล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนเพราะมีหลักทรัพย์ขนาดใหญ่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงทำให้กำไรสุทธิในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปีนี้จะอยู่ที่ 2,662 ล้านบาท ลดลง 3% จากปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 2,733 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปี 49 อยู่ที่ระดับ 16,300 ล้านบาทต่อวัน"

นักวิเคราะห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่นักลงทุนต่างชาติได้เข้ามามีบทบาทในการลงทุนตลาดหุ้นไทยปี 49 เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนการลงทุนเพิ่มเป็น 33% จากปีก่อนที่ 28% ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นนักลงทุนในประเทศ หรือรายย่อยมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ลดลง โดยเฉพาะโบรกเกอร์อันดับหนึ่ง บล.กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) หรือ KEST มาร์เกตแชร์เหลือ 8.57% จากปี 48 ที่มี 10.2% และบล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP มาร์เกตแชร์ปรับตัวลดลงเหลือ 6.19% จากปี 48 ที่มี 7.14%

สำหรับแนวโน้มในปี 2550 นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงได้รับปัจจัยเสี่ยง 3 ปัจจัยหลัก คือ มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เหตุการณ์ลอบลอบวางระเบิดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และการแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว (พ.ร.บ.ต่างด้าว) ซึ่งถือเป็นปัจจัยลบกดดันภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

จากปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามากระทบตลาดหุ้น บล.กรุงศรีอยุธยา จึงได้ปรับลดการคาดการณ์มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในวันที่ปี 50 ลดลงเหลือ 15,000 ล้านบาท จากเดิมที่ 18,000 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิรวมของหุ้นกลุ่มบล.ปี 50 มีการปรับตัวลดลงเหลือ 2,227 ล้านบาท หรือลดลง 24% จากเดิมที่ 2,964 ล้านบาท พร้อมกับปรับลดเป้าหมายค่า P/E ปี 50 ของหุ้นในกลุ่มลดลง เพื่อสะท้อนความเสี่ยงในการตลาดที่สูงขึ้น ซึ่งหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์เป็นกลุ่มที่ได้รับผลประทบโดยตรงจากปัจจัยลบที่รุมเร้าดังที่กล่าว ส่งผลให้ราคาหุ้นเหมาะสมกลุ่มหลักทรัพย์ปีนี้ปรับตัวลดลงจากเดิมโดยเฉลี่ย 24%

"จากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่ไม่เอื้ออำนวยแล้ว ยังต้องเจอความเสี่ยงเรื่องการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในอนาคต จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์จำนวนมาก เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากค่านายหน้าหลักทรัพย์ ยังเป็นรายได้หลักสัดส่วนสูงถึง 82% ของรายได้รวม ขณะเดียวกันยังจะส่งผลให้มีการแข่งขันดึงลูกค้ากับอย่างรุนแรง และทำให้บริษัทหลักทรัพย์ขนาดเล็กที่มีการพัฒนาธุรกิจอื่นๆ เข้ามาช่วยเสริมรายได้ มีแนวโน้มที่จะมีผลขาดทุน และไม่อาจสามารถอยู่รอดในธุรกิจหลักทรัพย์ได้ ส่งผลให้จะเห็นจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ที่ลดลงในอนาคตจากการควบรวมกิจการหรือหาพันธมิตรร่วมทุนจากต่างประเทศ"

อย่างไรก็ตาม บล.กรุงศรีอยุธยาจึงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์น้อยกว่าตลาด ส่วนหุ้นที่มีความโดดเด่น และบริษัทแนะนำซื้อ คือบล.บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS และ บล.ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us