ผู้บริหาร PF เผยอยู่ระหว่างทบทวนเป้ารายได้ปี 50 จากเดิมวางไว้ 10,000 ล้านบาท หวั่นพิษระเบิดรอบกรุงฯและมาตรการรัฐกระทบ โดยเดินหน้าเปิด 5 โครงการใหม่ปีนี้ มูลค่า 6,000 ล้านบาท กระจายทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว คอนโดฯ ย้ำแม้ธุรกิจอสังหาฯแข่งดุ แต่มั่นใจรักษา Gross Margin ทั้งปีได้ 32% มากกว่าตลาดอสังหาฯรวมที่ 30% และเตรียมงบซื้อที่ดินปีนี้ 500 - 700 ล้านบาท หวังพัฒนาเป็นโครงการใหม่ในอนาคต
ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ายอดขาย (Presale) ปีนี้อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่มียอดขายประมาณ 7,000 ล้านบาท แต่จากสถานการณ์ลอบวางระเบิดพื้นที่หลายจุดรอบกรุงเทพฯ รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯต้องมา ทบทวนเป้าหมายรายได้ทั้งปีอีกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป้าหมายรายได้เป็นเท่าใด คงต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการในวันศุกร์ที่ 26 ม.ค.นี้
" ปี 49 เราตั้งเป้ายอดขาย 8,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงปลายปีมียอดขายสูงกว่าเป้ามาอยู่ที่ 8,500 ล้านบาท แต่จากผลกระทบการเมืองและระเบิดปลายปีที่ผ่านมา ทำให้มียอดคืนกลับมาพอสมควร เหลือเบ็ดเสร็จมียอดขายทั้งปีเพียง 7,000 กว่าล้านบาท ปีนี้เลยต้องมาทบทวนใหม่ว่าเป้าเหลือเท่าไหร่ อยากได้แบบคอนเซอร์เวทีฟ " ดร.ธีระชน กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนเปิด 5 โครงการใหม่ปีนี้ มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ทำเลย่านรัชดา มูลค่า 3,000 ล้านบาท, พัฒนาการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท, ร่มเกล้า มูลค่า 800 ล้านบาท , รังสิต มูลค่า 200 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการเป็น 6,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวกระจายทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว โดยจะเปิดโครงการย่านร่มเกล้าเป็นโครงการแรกช่วงปลายไตรมาส2/2550
โดยปัจจุบันมีที่ดินเปล่ารอการพัฒนา (Land Bank) อยู่ประมาณ 300 ไร่ เพียงพอต่อการพัฒนาโครงการ 4 - 5ปีข้างหน้า โดยในปีนี้มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มเติมในทำเลใจกลางเมืองด้วยงบลงทุน 500 - 700 ล้านบาท เพื่อใช้รองรับการพัฒนาเป็นโครงการใหม่ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการแข่งขันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม แต่ทั้งนี้มั่นใจว่าจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ทั้งปีได้ 32% มากกว่าตลาดอสังหาฯรวมที่มี Gross Margin ที่ประมาณ 30% โดยจากราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับลดลง จะเป็นผลดีหนุนให้ต้นทุนการดำเนินงานดีขึ้นและทำให้ Gross Margin เป็นไปตามเป้าได้
ดร.ธีระชน กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯถือหุ้น บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด หรือ เคแลนด์ สัดส่วน 20% โดยมีแผนขายหุ้นกรุงเทพบ้านและที่ดินฯให้หมดก่อนที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2551 เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเช่นกัน
" เดิมทีกรุงเทพบ้านฯจะเข้าตลาดฯปีนี้ แต่ตอนนี้ชะลอไปเป็นปีหน้าแทน เพราะต้องการรับรู้รายได้จากการลงทุนใน บริษัท ริเวอร์ไซด์ โฮม ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่ถือหุ้น 51% ก่อน ซึ่งการรับรู้ช่วง Q 3/50และQ 4/50 ทำให้กระบวนการเข้าตลาดฯปีนี้อาจไม่ทัน ต้องเป็นปีหน้าแทน" ดร.ธีระชน กล่าว
|