ในบรรดาสิ่งที่เป็น "จักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม" ของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดที่ฝรั่งเศสต่อต้านมาตลอด
ดูเหมือนจะมีแต่ เรื่องของอาหารเท่านั้น ที่แดนน้ำหอมพอ จะยืนหยัดต่อต้านอิทธิพลของอาหาร
fast food อเมริกันได้ และไม่ต้องผจญกับปัญหา สุขภาพที่ผูกติดมากับการกินอาหารที่มีแคลอรีสูงมากเกินไป
ซึ่งเป็นปัญหาที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วดินแดนแห่งแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายด์
และ...การผ่าตัดหลอดเลือดอุดตันอย่างอเมริกา แต่ แล้วตัวเลขสถิติใหม่ๆ ในช่วง
2-3 ปีมานี้ กลับค่อยๆ เปิดเผยให้ เห็นว่า ฝรั่งเศสเองก็หวั่นไหวไปกับอิทธิพลของอาหารขยะจากอเมริกาไม่ผิดไปจากประเทศอื่นๆ
ทั่วทั้งโลกกับเขาเหมือนกัน
แม้ว่าชาวฝรั่งเศสที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นถิ่นชนบท จะยังคงมีสุขภาพที่แข็งแรงเหมือนที่เคยเป็นมา
แต่ชาวฝรั่งเศสทางภาคเหนือซึ่งเป็นเขตเมืองกลับเริ่มเจ็บป่วยมากขึ้นด้วยโรคที่เกี่ยวเนื่อง
กับการกิน โดยเฉพาะเด็กๆ ชาวฝรั่งเศส ที่กำลังเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น "เราไม่อาจชี้นิ้วโทษสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เพียงสิ่งเดียว" Mariette Gerber นักโภชนศาสตร์แห่งสถาบัน National Institute
for Medical Research and Health ใน Montpellier กล่าว "นี่เป็นวิถีการดำเนินชีวิตสมัยใหม่
เป็นไลฟ์สไตล์ของคนที่อาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งเราได้รับอิทธิพลมาจากสหรัฐฯ"
ปัญหาพลเมืองกำลังอ้วนขึ้นๆ ของฝรั่งเศส ช่วยตอกย้ำให้เราเห็นชัดถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมอเมริกันในเรื่องนิสัยการกิน
ที่ยังคงแผ่ขยายไปทั่วโลกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ซึ่งการกินอาหาร fast food แบบอเมริกัน เช่น แฮมเบอร์เกอร์ของ McDonald"s
และน้ำอัดลม Coca Cola เป็นแฟชั่นที่นิยมกันมาช้านาน
นอกจากนี้ วิถีชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในเมือง ยังเป็นชีวิตที่ต้องนั่งอยู่ตลอดเวลาและไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย
แม้แต่อาหารประจำท้องถิ่นของประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ก่อนเคยปรุงจากวัตถุดิบที่ใหม่สดและดีต่อสุขภาพ
ก็กลับเปลี่ยนมาใช้แป้งสำเร็จ รูปผ่านกระบวนการและวัตถุดิบอื่นๆ ที่ให้แคลอรีสูงขึ้นแต่มีใยอาหารซึ่งดีต่อสุขภาพน้อยลง
"เป็นเรื่องง่ายที่จะโทษโลกาภิวัตน์ หรือแบรนด์อาหาร ดังๆ อย่าง McDonald"s
หรือ Coca Cola" Derek Yach ผู้อำนวยการโครงการป้องกันโรค โภชนาการ อาหาร
และการออกกำลังกาย แห่งองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าว "แต่ความจริงแล้ว ปัญหานี้เป็นปัญหาสุขภาพที่ลึกซึ้งกว่านั้นมากนัก"
สาเหตุพื้นฐานของปัญหาสุขภาพหนีไม่พ้นนิสัยการกินและการออกกำลังกาย พลโลกยุคนี้ต่างได้รับอาหารที่มีแคลอรีสูง
ขึ้น แต่กลับมีกิจกรรมที่เผาผลาญแคลอรีน้อยลง จำนวนพลเมืองชาวอเมริกันที่มีน้ำหนักเกินปกติเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัวใน
ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็น 60% โดยมีชาวยุโรปและเอเชียตามมาติดๆ
ในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรอ้วนยิ่งสูงไปกว่าในอเมริกาเสียอีก
เช่น ในเม็กซิโกและอียิปต์ มีคนอ้วนเพิ่มขึ้นมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 2 เท่า ส่วนในจีนและอินเดีย
ในแต่ละ ปีมีการตรวจพบคนเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นมากกว่าที่พบในประเทศอื่นๆ
ทุกประเทศรวมกัน
คำถามคือ พวกเราได้รับอาหารที่มีแคลอรีสูงขึ้นได้อย่างไร หรือจากไหน แหล่งสำคัญแหล่งหนึ่งที่คุณอาจนึกไม่ถึงคือธัญพืชและอาหารสดต่างๆ
ที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งเรานำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานประจำวันกันมานมนานนี่เอง
แต่ก่อนอาหารประจำท้องถิ่นเหล่านี้เคยเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ปัจจุบันการปลูกธัญญาหารในเชิงธุรกิจ
ซึ่งทำเป็นระบบฟาร์มขนาดใหญ่และนำไปผ่านกระบวนการในโรงงานผลิตก่อนจะมาถึงมือเรานั้น
ทำให้คุณค่าทางโภชนาการหลายอย่างสูญเสียไประหว่างทาง และทำให้ "ความหนาแน่นของแคลอรี"
ของธัญพืชเหล่านั้นสูงขึ้น แม้แต่เส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเป็นส่วนประกอบ หลักของอาหารประจำท้องถิ่นในหลายๆ
ประเทศ ก็มิได้ดีต่อสุขภาพเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
แต่ก่อนคนจีนเคยทำเส้นบะหมี่หรือเส้นก๋วยเตี๋ยวเอง จากเมล็ดข้าวครบรูป (whole
grains) บดและโม่เป็นแป้งด้วยมือ แต่เดี๋ยวนี้คนจีนใช้แป้งสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงงาน
ซึ่งเมล็ดข้าวถูกขัดสีเอาเปลือกออกไปจนหมด และสิ่งที่หลุดออกไปพร้อมกันก็คือสิ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างใยอาหารและแร่ธาตุ
สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียงคาร์โบไฮเดรตล้วนๆ ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็น
ไขมันได้อย่างสะดวกดาย
น้ำมันพืชเป็นอีกแหล่งหนึ่งของแคลอรีในอาหารที่สูงขึ้นที่คุณอาจนึกไม่ถึงอีกเช่นกัน
หลังจากในทศวรรษที่ 1960 ที่นักวิจัยชาวญี่ปุ่นและอเมริกันได้ค้นพบวิธีสกัดน้ำมันจากพืชโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยเป็นต้นมา
ทั้งชาวตะวันตกและประเทศกำลังพัฒนาต่างก็เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืชซึ่งมีราคาถูกกว่าแทนเนย
ทั้งยังดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันจากสัตว์หากใช้แต่พอประมาณ
ปัญหาก็คือ เนื่องจากมันมีราคาถูกโดยเฉพาะในประเทศอย่างอินเดีย จึงมีการใช้น้ำมันพืชกันอย่างพร่ำเพรื่อในอาหารทุกมื้อ
เป็นเรื่องปกติธรรมดาเป็นอย่างยิ่งในดินแดนอนุทวีป ที่จะใส่น้ำมันพืชลงไปในอาหารทั้งมื้อเช้า
กลางวัน เย็น ชาวอินเดียยังนิยมเติมน้ำมันพืชเพิ่มลงไปในอาหารอีกสัก 10-20
กรัม นัยว่าเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้อร่อยขึ้น
น้ำตาลคือผู้ร้ายตัวสำคัญอีกตัวหนึ่ง อาหารประจำท้องถิ่น ในประเทศกำลังพัฒนาหลายจานมีปริมาณน้ำตาลมากขึ้นกว่า
เมื่อ 20 ปีก่อนและทำให้ผู้คนในประเทศเหล่านั้นได้รับพลังงานสูงขึ้นถึงวันละ
300 แคลอรี พลโลกยังได้รับน้ำตาลส่วนเกินมาจาก ความนิยมดื่มน้ำอัดลม
อย่างไรก็ตาม แหล่งใหญ่ของน้ำตาลกลับเป็นขนมปังและอาหารหลักในท้องถิ่น
ที่แต่ก่อนแต่ไรเคยเป็นอาหารที่ไม่ทำร้ายสุขภาพ แต่เมื่อมีการนำวิธีการผลิตแบบตะวันตกมาใช้
ซึ่งสนับสนุน ให้มีการเติมน้ำตาลลงไปในขนมปังและอาหารท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้มีรสชาติหวาน
อร่อยขึ้น ทำให้ประชากรในประเทศอย่าง บราซิลบริโภคน้ำตาลต่อหัวมากกว่าพลเมืองอเมริกันเสียอีก
ไม่มีส่วนใดในโลกนี้ไม่ว่าจะอยู่ไกลปืนเที่ยงสักเพียงใด ที่จะหนีรอด พ้นไปจากเงื้อมมือของอาหารแคลอรีสูง
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ชาวเกาะ Samoa ใน Pacific มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และวันนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรชาวเกาะดังกล่าวกลายเป็นโรคอ้วนกันถ้วนหน้า
James Bindon นักมานุษยวิทยาด้านชีววิทยาแห่ง Alabama University ชี้ว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการที่ชาว
Samoa หันมานิยมรับประทานเนื้อกระป๋อง corned beef ที่นำเข้ามาจากอังกฤษ
แนวโน้มอย่างเดียวกันนี้กำลัง เกิดขึ้นในเกาะ Fiji ด้วยเช่นกัน "เมื่อก่อน
พวกเขาปลูกผักผลไม้กินเอง แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถซื้อหาน้ำอัดลมกระป๋องและเนื้อแกะที่นำเข้าจากนิวซีแลนด์ได้ทั่วไป"
Yach จาก WHO กล่าว
พลเมืองทั้งจากประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาต่างมีกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงเรื่อยๆ
ซึ่งเป็นอาการที่มีชื่อเรียกว่า "couch-potato syndrome" อันหมายถึง แทนการขี่จักรยานไปทำงานและการทำงานกลางแจ้ง
พลโลกยุคนี้ต่างก็ "นั่ง" ทำงานอยู่ในสายพานการผลิต "นั่ง" รถไปกลับจากที่ทำงาน
และ "นั่ง" ดูโทรทัศน์ในวันหยุด เดี๋ยวนี้แม้แต่ในจีน 95% ของครัวเรือนต่างก็มีทีวีดูกันแล้ว
couch-potato syndrome ดันค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของประเทศต่างๆ ให้พุ่งสูงขึ้นไปตามๆ
กัน 100 พันล้านดอลลาร์สำหรับการรักษาโรคอ้วนในเด็กในสหรัฐฯ เพียงอย่าง เดียว
แล้วเด็กที่มีปัญหาน้ำหนักเกินอีก 35 ล้านคนทั่วโลกล่ะ นี่ยังไม่ได้พูดถึงผู้ใหญ่อ้วนอีก
300 ล้านคนด้วยซ้ำ
Karen Miller-Kovach หัวหน้านักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบัน Weight Watchers
International เปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูพลโลกที่อดอยากยากจนและค่าใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ที่เป็นโรคอ้วนพุ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจ
ที่แย่ก็คือ ผู้ที่รับกรรมจากโรคอ้วนและโรคอื่นๆ ที่สืบเนื่องมาจากความอ้วนที่หนักที่สุดกลับเป็นคนจน
เพราะอาหารขยะแคลอรีสูงมีราคาถูกพอที่คนมีรายได้น้อยจะซื้อหาได้ ในขณะที่คนรวยและมีการศึกษามีเงินไปใช้บริการสถานออกกำลังกาย
แต่ในประเทศกำลังพัฒนาพลเมืองในประเทศเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึงสถานออกกำลังกายหรูหราราคาแพง
สรุปแล้วความนิยมในอาหารสไตล์ตะวันตกที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก กำลังก่อให้เกิดปัญหาที่น่าวิตกว่าจะระบาดไปทั่วโลกเช่นกัน
นั่นคือ การที่พ่อแม่เป็นโรคอ้วนแต่ลูกๆ กลับได้รับอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบถ้วน
ซึ่งล้วนแต่เป็นผลร้ายต่อสุขภาพของทั้งพ่อแม่และลูกได้พอๆ กัน
แปลและเรียบเรียงจาก
Newsweek, January 20, 2003
โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
linpeishan@excite.com