|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โรส มีเดีย แอนด์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ เผยแผนรุกตลาดปี 2550 หลังรีแบรนด์บริษัทใหม่ ย้ำเน้นผลกำไรมากกว่ารายได้ เดินหน้าผุดโครงการใหม่เพียบ ประเดิมลุยธุรกิจทีวี คว้าเวลาช่อง 5 เล็งทำทีวีดาวเทียม พร้อมทำคิดส์เธียเตอร์ มั่นใจปีนี้โตสองหลัก พร้อมปรับสัดส่วนรายได้ จากวีซีดี ดีวีดี เหลือ 50% เพื่อเปิดทางธุรกิจใหม่
นายจิรัฐ บวรวัฒนะ รองประธานกรรมการ บริษัท โรส มีเดีย แอนด์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะรุกทำตลาดเต็มที่ หลังจากที่ปีที่แล้วได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้และปรับแนวทางการดำเนินงานใหม่ และได้เริ่มทยอยทำมาบ้างแล้ว แต่จะมีภาพที่ชัดเจนในปีนี้ พร้อมกับยังมีโครงการลงทุนใหม่ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรด้วย อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯ จะเน้นธุรกิจที่ทำกำไรได้มาก ดีกว่าที่จะไปเน้นธุรกิจที่ทำรายได้มากแต่กำไรน้อย
ปีที่แล้วธุรกิจของทั้งเครือโรสฯ มีกำไรประมาณ 100 กว่าล้านบาท แม้ว่ารายได้จะไม่ได้มากเหมือนกับบริษัทมีเดียบางราย แต่ถือว่าผลประกอบการกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ดีกว่าบริษัทบางรายที่มีรายได้มากจริงแต่กำไรเล็กน้อยหรือขาดทุนด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้โครงการใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นในปีนี้ คือ การขยายบทบาทสู่การเป็นผู้เช่าเวลาเพื่อจัดรายการทางทีวี โดยบริษัทฯ ได้เวลาจากทางช่อง 5 ช่วงเวลา 07.30-08.00 น. ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ โดยทำเป็นรายการ "แก๊งค์การ์ตูน" เพื่อนำเอาการ์ตูนมาฉายในโทรทัศน์ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการนำเอาคาแรคเตอร์ ปาร์แมน และขบวนการจัสไรเดอร์มาฉายก่อน ซึ่งมีสินค้าเป็นสปอนเซอร์ประมาณ 5 รายเช่น บริษัท ศรีนานาพร มาร์เกตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เบนโตะ รวมทั้งยังมีบริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์นมด้วย เป็นต้น
อีกโครงการหนึ่งที่คาดว่าจะเห็นได้ภายในกลางปีนี้หรืออย่างน้อยในปีนี้ คือ โครงการเปิดโรงหนังสำหรับเด็ก ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้ลงทุนสร้างโรงหนังเอง แต่อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการโรงหนังรายใหญ่หลายราย เพื่อที่จะร่วมกันปรับโรงหนังบางโรงให้มาเป็นโรงหนังเด็ก ซึ่งทุกค่ายก็ให้ความสนใจ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อนประมาณ 1โรง ซึ่งหากประสบความสำเร็จอาจจะมีสาขาละ 1โรงก็ได้ โดยจะฉายหนังเกี่ยวกับเด็กไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนหรือหนังเด็กทั่วไป และนอกจากฉายหนังแล้วจะยังใช้เป็นสถานที่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็กด้วย โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ป้อนโปรแกรมหนังให้ตลอด
"การที่บริษัทฯ เริ่มต้นธุรกิจทางทีวีเกี่ยวกับรายการบันเทิงพวกการ์ตูน ก็เนื่องจากเรามีฐานตรงนี้อยู่แล้ว มีลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนจำนวนมาก เช่น โซนิคเอ็กซ์ ปาร์แมน นารูโตะ เคียวโรโร่ เรนเจอร์ โดราเมอน เป็นต้น จึงพัฒนาต่อยอดตรงนี้ขึ้นมา จากเดิมที่มีแค่ ดีวีดี วีซีดี เป็นต้น"
อย่างไรก็ตามรูปแบบการดำเนินรายการทางโทรทัศน์นั้น บริษัทฯ จะไม่ใช่แค่การนำการ์ตูนมาลงจอเท่านั้น แต่จะใช้กลยุทธ์การตลาดผสมผสานครบวงจร ร่วมกับทางสปอนเซอร์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ใช่แค่การโฆษณาเท่านั้น แต่จะมีการจัดกิจกรรม โรดโชว์ และการตลาดต่างๆ อย่างต่อเนื่องและเกี่ยวข้องกัน เพื่อสร้างศักยภาพให้กับสินค้าและสปอนเซอร์ได้ด้วย
นายจิรัฐ ให้ความเห็นด้วยว่า ในยุคนี้การจะหาสปอนเซอร์เพื่อให้เขาเข้ามาสนับสนุนด้วยการจ่ายเงินและออกโฆษณาให้เห็นเท่านั้นคงจะลำบากแล้ว ยุคนี้น่าจะต้องมีอะไรที่ใหม่กว่านั้นและมากกว่านั้น เพราะงบโฆษณาปีนี้ของแต่ละบริษัทก็คงจะลดลงเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งการแย่งงบโฆษณาของแต่ละสื่อแต่ละผู้ประกอบการก็รุนแรงด้วย ซึ่งถ้าหากมีกลยุทธ์อะไรที่ใหม่และแหวกแนว ก็น่าจะเป็นตัวดึงดูดได้เป็นอย่างดี ซึ่งเท่าที่ได้มีการพูดคุยกับเจ้าของสินค้า ลูกค้าต้องการโฆษณา ต้องการกิจกรรม คือ เราต้องเสนอเป็นแพกเกจทั้งมีเดียและอีเวนต์ด้วย
นอกจากนั้นยังมีโครงการที่จะทำทีวีดาวเทียมอีกด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ มีความพร้อมแล้ว เพียงแต่ว่าอยู่ระหว่างการเจรจาหาสัญญาณดาวเทียมเพื่อจะทำการเช่าเท่านั้น
สำหรับธุรกิจจัดจำหน่ายหนัง เพื่อนำหนังเข้าโรงหนังนั้น ก็ยังเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ได้อย่างดี แต่ต้องมีกระบวนการในการพิจารณาคัดเลือกหนังให้ถูกต้องและเหมาะกับตลาดเมืองไทยด้วย โดยวางแผนว่าปีนี้จะมีการนำหนังเข้าฉายโรงหนังประมาณ 2 เรื่องต่อเดือน ทั้งหนังทั่วไป หนังแอ็กชั่น หนังผี และหนังการ์ตูน ซึ่งในช่วงเดือนมกราคมนี้ จะมี 2 เรื่องคือ เรื่องเพอร์ฟูม และการ์ตูนเรื่องกัปตันมาร์เวล ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ก็จะมีเรื่อง บาเบล และการ์ตูนเรื่องโอนิมูชะ
นายจิรัฐ กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจในเชิงรุกปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นและอัตรากำไรเติบโตขึ้นเป็นเลขสองหลักอย่างแน่นอน แต่สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิม โดยปีที่แล้วสัดส่วนรายได้มาจาก ดีวีดี วีซีดี กว่า 80% และที่เหลืออีก 20% มาจากนำเข้าหนังและเมอร์ชันไดซ์ ส่วนปีนี้จะปรับสัดส่วนรายได้ใหม่คือ วีซีดี ดีวีดี 50% และอีก 20% มาจากธุรกิจมีเดีย อีก 20%มาจากธุรกิจจัดจำหน่ายหนัง และ 10% มาจากเมอร์ชันไดซ์
|
|
|
|
|