|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.กสิกรไทย มั่นในศักยภาพในฐานะบริษัทในเครือแบงก์พร้อมรับการเปิดเสรี "รพี" ระบุปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยากของธุรกิจหลักทรัพย์เพราะต้องเจอกับปัญญาสารพัดเรื่อง ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าเท่าตัวจากปีที่ผ่านอยู่ที่ 3 พันบัญชี ขณะที่มาร์เกตแชร์ยังหวัง 1.5% โดยเน้นเจาะลูกค้าแบงก์-สถาบัน คาดเปิดครบ 10 สาขาได้ในปีนี้
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2550 ว่า บล.กสิกรไทย ยังให้น้ำหนักในการเพิ่มจำนวนนักลงทุนที่มาจากลูกค้าธนาคาร รวมถึงการเพิ่มลูกค้าสถาบัน เนื่องจากที่ผ่านมาอัตราการเติบโตค่อนข้างดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโตของกองทุนต่างๆ ที่มีมูลค่ารวมกันมากกว่าล้านล้านบาท โดยบริษัทจะเน้นการมุ่งพัฒนาบทวิเคราะห์ในเชิงลึกและเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยสามารถใช้ข้อมูลจากบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รวมถึงข้อมูลทางตลาดเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ปีนี้ถือเป็นปีที่ยากของธุรกิจหลักทรัพย์ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นการลอบวางระเบิด 8 จุดทั่วกรุงเทพ มาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแหงประเทศไทย (ธปท.) เป็นต้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตลาดทุนไม่ว่าจะเป็นการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน การเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ การยกเลิกการค้ำประกันเงินฝาก รวมถึงการเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกิจแบบครบวงจรได้ ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ต้องเร่งปรับตัว เร่งสร้างฐานลูกค้าเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลงจากค่าคอมมิชชัน
สำหรับภาพรวมของบริษัทในปีนี้บริษัทคาดว่ามาร์เกตแชร์จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.5-0.6% ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะเป็นรายได้จากหน้านายซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 75% และจากด้านวาณิชธนกิจประมาณ 25% ส่วนจำนวนบัญชีลูกค้าบริษัทคาดว่าจะมีจำนวนบัญชีที่มาเปิดบริการเพิ่มขึ้น 100% จากปัจจุบันมีจำนวนบัญชีอยู่ที่ 3,000 บัญชี
นางณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการผู้จัดการ สายงานนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กล่าวว่า กลยุทธ์ในปีนี้บริษัทจะยังเน้นทั้งด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Quality of product) ซึ่งบริษัทถือว่าเป็นจุดแข็งมากไม่ว่าจะเป็นด้านบทวิเคราะห์ เพราะบริษัทมีทีมงานที่มีประสบการณ์และในวันที่ 15 ก.พ.นี้ บริษัทจะได้ทีมงานใหม่เข้ามาเพิ่มทำให้ทีมวิเคราะห์ของบริษัทครอบคลุมทุกเรื่อง
ส่วนของคุณภาพของการบริการ (Quality of service) บริษัทได้เชื่อมโยงระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งแบบผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดและผ่านอินเทอร์เน็ตมาอยู่ในบัญชีเดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า รวมทั้งการให้บริการด้านสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ด้วยต้นทุนของบริษัทที่ต่ำกว่าคู่แข่งอื่นทำให้บริษัทสามารถผ่อนสินเชื่อโดยคิดดอกเบี้ยเพียง 5.75% ต่อปี
สำหรับกลุ่มลูกค้าสำคัญของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าธนาคารซึ่งบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ กลุ่ม Private Wealth Management ซึ่งมีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาท ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 700 ราย และกลุ่ม Signature ซึ่งมีเงินฝากมากกว่า 5 ล้านบาทปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 15,000 ราย
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 50 รายโดยในปีนี้คาดว่าจะรับเพิ่มอีกประมาณ 70 คนเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นางณัฐรินทร์ กล่าวอีกว่า การบริหารงานภายใต้แนวคิด Universal Banking คือการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าครอบคลุมทุกด้าน โดยลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการต่างๆของบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยได้ผ่าน Cyber Branch ซึ่งอยู่ภายในสาขาของธนาคารกสิกรไทย โดยภายในไตรมาส 1/50 จะเปิดให้บริการในสาขาเยาวราชและรัดาภิเษก-ห้วยขวาง และคาดว่าจะเปิดให้ครบ 10 สาขาภายในสิ้นปีนี้
|
|
|
|
|