|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ไมด้า ลิสซิ่ง ยันธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในประเทศ มั่นใจรายได้ปีนี้โต 10% ผู้บริหารเชื่อแนวโน้มการกู้เพื่อซื้อรถยนต์ยังสูงต่อเนื่องเพราะความต้องการใช้ยังมีอีกมาก เน้นปล่อยกู้รถยนต์มือสองให้กับลูกค้าในต่างจังหวัดเป็นหลักเหตุกำไรค่อนข้างสูง เผยปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันกระทบต่อยอดซื้อรถมากที่สุด
นายธีรวัฒน์ เกียรติสมภพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไมด้า ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ML กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 10% ซึ่งอาจจะเป็นสัดส่วนที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับหลายๆปีที่ผ่านมา เพราะหลังเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจไทยเมื่อปี 2540 อัตราการเติบโตในธุรกิจเช่าชื่อรถยนต์มีอัตราการเติบโตในระดับสูงมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ยอดการซื้อรถยนต์ใหม่ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 7 แสนคันขณะที่ในปีนี้คาดว่ายอดการซื้อในส่วนของรถยนต์มือหนึ่งน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการซื้อขายรถยนต์มือสองจากช่วงอดีตที่ผ่านมาที่จะมียอดการซื้อขายสูงกว่ารถยนต์มือหนึ่งประมาณ 2 เท่าตัวโดยในปีนี้คาดว่ายอดการซื้อขายรถยนต์มือสองน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านคัน
สำหรับการแข่งขันของธุรกิจรถยนต์มือสองในปัจจุบันถือว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงมาก ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทสามารถปรับตัวเพิ่มรองรับการแข่งขันที่รุนแรงได้เนื่องจากสิ่งที่สำคัญในธุรกิจนี้ คือ บุคลากรของบริษัทที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจทั้งในส่วนของรถยนต์และลูกค้า
ในส่วนของปัจจัยเลี่ยงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันต่อธุรกิจเช่าซื้อโดยเฉพาะรถยนต์ สิ่งสำคัญคือ ราคาน้ำมันซึ่งหากปรับตัวสูงขึ้นยอดการซื้อรถยนต์ทั้งมือหนึ่งและมืสองก็จะปรับตัวลดลง รวมถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยเพราะหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นก็จะทำให้ลูกค้าอาจจะชะลอการตัดสินใจที่จะซื้อบ้าง ขณะที่ในเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศเรื่องดังกล่าวไม่ถือว่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทแต่อาจจะกระทบต่อการตัดสินของลูกค้าบ้าง
นอกจากนี้ ในอดีตที่ผ่านมาความเสี่ยงของธุรกิจมักจะมากขึ้นหากช่วงเวลานั้นๆเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในช่วงขาลง เพราะว่าความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนจะลดลง ซึ่งทำให้เรามีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับกับความเสี่ยงโดยเฉพาะการตรวจสอบในเรื่องระบบเครติตของลูกค้าก่อนที่จะอนุมัติให้กู้
"เราไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยลบต่างๆ เพราะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น เนื่องจากความต้องการใช้รถยังมีอยู่อีกมาก แต่สิ่งที่เราถือว่าเป็นผลกระทบต่อเราโดยตรงคือราคาของน้ำมันซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากเพิ่มขึ้นลูกค้าเราต้องคิดมากขึ้นในการซื้อรถ"นายธีรวัฒน์ กล่าว
นายธีรวัฒน์ กล่าวอีกว่าปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์โดยมากกว่า 90% เป็นรถกระบะซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในต่างจังหวัด ขณะที่อีก 10% เป็นรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถแทกซี่ที่อยู่ในกรุงเทพซึ่งทำให้ความเสี่ยงของบริษัทจากการปล่อยสินเชื่อลดลงเนื่องจากรถยนต์ที่บริษัทปล่อยกู้นั้นเป็นรถยนต์ที่จะนำไปใช้เพื่อประกอบอาชีพมากกว่าการซื้อเพิ่มเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ ปัจจุบันทั่วประเทศบริษัทมีสาขาอยู่ 13 สาขา โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นกลุ่มประชาชนในต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพ เพราะความต้องการซื้อรถยนต์มือสองในต่างจังหวัดยังมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
|
|
|
|