นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ TCI เปิดเผยถึง ความคืบหน้าแผนการระดมทุนเพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิตว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมการเซ็นสัญญาแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อนำบริษัทไทยคอปเปอร์ฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาเสร็จเรียบร้อยภายใน 2 สัปดาห์นี้ และจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ประมาณเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนได้ก่อนเดือนกันยายน 2550
ทั้งนี้ ไทยคอปเปอร์ฯ จะมีการระดมทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนประมาณ 8,000 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 10 บาท ขณะที่ราคาเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) คาดว่าราคาเสนอขายจะสูงกว่าราคาพาร์แน่นอน โดยบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา จัดสรรหุ้นส่วนหนึ่งให้แก่นักลงทุนภายในประเทศเช่นกัน
สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ ส่วนหนึ่งไทยคอปเปอร์ฯ จะนำไปลงทุนขยายกำลังการผลิตในโรงงานถลุงทองแดงจาก 165,000 ตันต่อปี เป็น 250,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้ทองแดงที่เพิ่มขึ้น และราคาทองแดงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะนำไปชำระหนี้ก่อนกำหนด เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
"ไทยคอปเปอร์ฯ ได้เริ่มเดินเครื่องผลิตได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว ขณะนี้มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ราคาทองแดงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนที่จะมีการขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้น คาดว่าจะมีการขยายกำลังการผลิตหลังจากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว" นายประยุทธ กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานในปี 2550 นั้น นายประยุทธ กล่าวว่า บริษัทประเมินจะมีรายได้จำนวน 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากการขายในประเทศ 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ โดยลูกค้าในประเทศส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มบริษัทเอกชน ที่ใช้ทองแดงเป็นวัตถุดิบในการผลิตสายไฟฟ้า ,โทรศัพท์ และท่อแอร์ เป็นต้น
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองกรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึง สาเหตุที่บริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ TCI จะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ว่า ไทยคอปเปอร์ฯ มีความจำเป็นที่จะต้องการเงินลงทุนเพื่อขยายกิจการ แต่ไม่สามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ เนื่องจากขาดคุณสมบัติของบริษัทจดทะเบียน คือ ไทยคอปเปอร์ฯ เพิ่งเริ่มเปิดดำเนินธุรกิจเพียง 1 เดือนเท่านั้น
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดคุณสมบัติของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ ต้องมีการดำเนินธุรกิจและกำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 3 ปี เพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลวิเคราะห์แนวโน้มฐานะการเงินและการขยายตัวของบริษัทประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ขณะที่กฎระเบียบตลาดหุ้นสิงคโปร์อาจจะเอื้อต่อการเข้าจดทะเบียนมากกว่า
"ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องยอมรับและปล่อยให้ไทยคอปเปอร์ฯ เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพราะเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อเปิดทางให้ไทยคอปเปอร์ฯ ระดมทุนในตลาดหุ้นไทย แต่นักลงทุนสิงคโปร์เองก็ต้องยอมแบกรับความเสี่ยงเอง ในเรื่องของผลประกอบการและแนวโน้มของบริษัทที่จะออกมาในทิศทางใด" นายวิเชฐ กล่าว
|