"เราจะคืนกำไรสู่สังคมนับจากนี้ต่อไป" อังเดรอัส ชแลปเฟอร กรรมการผู้จัดการกลุ่มเนสท์เล่ไทย
กล่าวด้วยท่าทีที่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจอย่างมากมายในวันงานฉลองครบ 100 ปีเนสท์เล่ไทย
ชแลปเฟอร์บอกว่าเนสท์เล่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และระบบเศรษฐกิจไทยไปแล้ว
เพราะผลิตภัณฑ์อาหารหลายประเภทของเนสท์เล่ที่จัดจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของครอบครัวคนไทยตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่
เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร นม ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นกาแฟภายใต้ชื่อเนสกาแฟ
หรือ ไมโลเครื่องดื่มช็อกโกแลต เป็นต้น
ยอดขายของเนสท์เล่ในปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ตัวเลขที่ 7,000 ล้านบาท ซึ่งชแลปเฟอร์มีความมั่นใจว่า
ปรัชญาอันแน่วแน่ของเขาที่จะผลิตสินค้าอาหารให้มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานไปโดยตลอดเช่นนี้
จะสามารถก้าวเข้าสู่เป้าหมายยอดขายที่ 10,000 ล้านบาทได้ในอนาคตอันใกล้นี้
"ดูจากอัตราการเติบโตของเนสท์เล่ สามารถขยายตัวได้ปีละประมาณ 20%
หากมันเป็นเช่นนี้ เป้าหมายยอดขาย 10,000 ล้านบาทจึงดูว่าไม่ไกลเกินฝันของเราเท่าไรนัก"
ชแลปเฟอร์กล่าว
หากย้อนดูการเกิดเนสท์เล่ในเมืองไทยเมื่อปี 2436 คนไทยจะรู้จักสินค้าตัวแรกของเนสท์เล่จากผลิตภัณฑ์นมข้นหวาน
ตรา "แหม่มทูนหัว" ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ในช่วงแรกสินค้านำเข้าจากต่างประเทศพากันหลั่งใหลเข้าเมืองไทยอย่างมากมาย
เพราะเป็นช่วงที่คนไทยกำลังเห่อของนอก นมข้นหวานตราแหม่มทูนหัวจึงเป็นสินค้าอีกตัวหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมจากคนไทยด้วย
ผลิตภัณฑ์นมของเนสท์เล่เติบโตในตลาดมาจนกระทั่งปี 2511 สามารถก่อตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์นมข้นหวานในประเทศไทย
ภายใต้ชื่อบริษัทยูไนเต็ด มิลค์ จำกัด และได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเนสท์เล่
(ประเทศไทย) จำกัดในปี 2527 พร้อมทั้งลดปริมาณการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลง
โดยเร่งผลิตสินค้าในประเทศให้ได้มาตรฐานเพื่อเป็นการชดเชยการนำเข้า
โรงงานในระยะแรกได้ผลิตนมข้นหวานและนมสดสเตอริไลส์ตราหมีออกสู่ตลาดทั้งนมข้นหวาน
และนมสดสเตอริไลส์ได้รับความนิยมอย่างสูง ประกอบกับกลยุทธการตลาดของเนสท์เล่ที่ทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องไม่ขาดระยะ
ทำให้ยอดขายของสินค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดต้องขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ
เช่น เนสตุ้ม ซีรีแล็คและแม็กกี้
นอกจากนี้ยังได้ร่วมทุนกับนักลงทุนฝ่ายไทยคือ ประยุทธ มหากิจศิริในปี 2515
ตั้งโรงงานผลิตกาแฟผงสำเร็จรูปภายใต้ชื่อเนสกาแฟและดีโก้ นับได้ว่าในปีของการก่อตั้งโรงงานผลิตกาแฟผงสำเร็จรูปนั้นถือเป็นรายแรกของประเทศไทยและห่างกันอีก
20 ปี คือในปี 2535 ก็ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตกาแฟผงขึ้นอีกเป็นโรงที่ 2
เนสท์เล่จับจุดการก่อกำเนิดตัวสินค้าของเขาให้เป็นรายแรกเสมอ นั่นคือ ทิศทางที่เด่นชัดในการเติบโตของบริษัทเชื้อสายสวิส
การเป็นผู้ผลิตช็อกโกแลตรายแรกของเมืองไทยจึงเกิดขึ้นอีกตามนโยบายเมื่อปี
2527 โรงงานนี้ผลิตสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไมโล และคาร์เนชั่น
เมื่อ 5 ปีก่อน ผลิตภัณฑ์ทุกยี่ห้อของเนสท์เล่ยังคงอยู่ภายให้การดูแลตลาดจัดจำหน่ายของบริษัทดีทแฮล์ม
ซึ่งเป็นบริษัทการตลาดที่มีเชื้อสายเดียวกัน โดยถือหุ้นร่วมกันในแผนกสินค้าเนสท์เล่
เนสท์เล่ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจดีทแฮล์มให้จัดจำหน่ายสินค้าของตนเพราะเห็นผลงานอันลือเลื่องมาแล้ว
จากการจำหน่ายเครื่องดื่มโอวัลติน ชื่อเสียงของโอวัลตินดังติดเพดานตลาด เมื่อถูกโยกไปให้บริษัทเจ้าของจัดจำหน่ายเอง
เนสท์เล่จึงนำไมโลและนมตราหมีเข้าสวมรอยแทน
ในขณะที่ให้ดีทแฮล์มจัดจำหน่ายให้ เนสท์เล่ก็พยายามศึกษาตลาดและเตรียมพร้อมสำหรับการทำตลาดเอง
ในปี 2532 ชแลปเฟอร์ดึงสินค้าทั้งหมดกลับมาทำตลาดเอง พร้อมปรับองค์กรเนสท์เล่ใหม่หมดเป็นกลุ่มเนสท์เล่ไทยประกอบไปด้วยบริษัทในเครือ
6 แห่ง มีผลิตภัณฑ์กว่า 30 ชนิด อาทิ เนสกาแฟ นมผงเนสท์เปร นมสดยูเอชที นมตราหมี
ไมโล ซีรีแล็ค นมถั่วเหลืองลิบบี้ส์ สมาร์ทตี้ ฯลฯ เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนติดอันดับต้นของการแข่งขันในตลาดที่มีมูลค่ามากกว่า
10,000 ล้านบาท ชแลปเฟอร์เคยกล่าวไว้ว่า เขาจะมุ่งไปข้างหน้าด้วยการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน
แต่ยังคงมีทิศทางที่แน่นอนคือ อยู่ในผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร นม และเครื่องดื่มเป็นส่วนใหญ่
ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารสำเร็จรูปนั้น ยังคงต้องใช้เวลาในการศึกษาพฤติกรรมของตลาดเพราะพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยนับวันจะเปลี่ยนแปลงเร็ว
การยอมรับในอาหารกึ่งสำเร็จรูปยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร และมาร์จินจากสินค้าประเภทนี้ก็มีน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ประภทเครื่องดื่มและอาหารนม
ดังนั้นการมองตลาดสินค้าใหม่ของเขาก็ยังคงอยู่ในแนวเดิม
อย่างไรก็ตามแผนในศตวรรษที่ 2 ของเนสท์เล่ไทยนั้น ชแลปเฟอร์กลับมองไปไกลถึงอาณาเขตรอบประเทศบ้านเรา
โดยการเปิดบริษัทเนสท์เล่ อาเซียน (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นเพื่อเป้าหมายในการผลิตสินค้าส่งออกสู่ตลาดอาเซียน
ซึ่งขณะนี้เนสท์เล่เป็นบริษัทหนึ่งที่เข้าร่วมในโครงการ ASIAN INDUSTRIAL
JOINT VENTURE (AIVJ) เพื่อแลกเปลี่ยนวัตถุดิบซึ่งกันและกันในเชิงอุตสาหกรรมระหว่างประเทศในอาเซียนด้วยกันจึงเปิดบริษัทเนสท์เล่
อาเซียนขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยสินค้าตัวแรกที่เนสท์เล่ อาเซียน
(ประเทศไทย) จะผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดอาเซียน คือ คอฟฟี่เมท ส่วนแผนในประเทศนั้น
ชแลปเฟอร์กล่าวว่า
"เราจะพัฒนาบุคลากรขององค์กรให้มีประสิทธิภาพตามที่เราหวังก่อน แล้วอย่างอื่นซึ่งหมายถึงเป้าหมายยอดขายจะตามมาเอง"
ซึ่งชแลปเฟอร์ได้ตั้งความหวังไว้ว่า ฐานธุรกิจของเขาเมื่อรวมกันใน 6 บริษัทในเครือจะมีมูลค่าประมาณ
8,000 - 9,000 ล้านบาท เขาขอเพียงให้การขยายตัวของฐานธุรกิจมีอัตราการเติบโตอย่างต่ำอยู่ที่
15% ของมูลค่าธุรกิจของเขาเท่านั้นพอ