ตระกูลภัทรประสิทธิ์นั้นสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากกิจการโรงเหล้าโดยแท้ มีรากฐานอยู่ในจังหวัดพิจิตร
และ นครสวรรค์ จากโรงเหล้าท้องถิ่นธรรมดาก็ไต่เต้าขึ้นไปเป็นโรงเหล้าระดับมาตรฐานที่เชียงใหม่ใช้ชื่อว่า
"ภัทรล้านนา" หรือที่ขอนแก่นก็ใช้ชื่อว่า "ภัทรเกรียงไกร"
การก้าวขึ้นไปเป็นเอเย่นต์ของสุราแม่โขงของภาคเหนือเป็นการพลิกโฉมหน้าครั้งสำคัญของตระกูลภัทรประสิทธิ์
ที่จะได้เข้าไปรู้จักกับตระกูลเตชะไพบูลย์ จนเมื่อมีการรวมตัวกันระหว่างแม่โขงและหงส์ทองขึ้นเป็นบริษัทสุรามหาราษฎร์แล้ว
ภัทรประสิทธิ์ก็ได้เข้าไปมีส่วนถือหุ้นอยู่ถึง 13% รองจากเจริญ สิริวัฒนภักดี
นอกจากนั้นแล้วยังถือหุ้นอยู่ถึง 50% ในกิจการห้างสรรพสินค้าระดับแนวหน้าอย่างเดอะมอลล์
เป็นพันธมิตรกับตระกูลเอื้อชูเกียรติยึดครองธนาคารหลักทรัพย์เจ้าพระยาที่มีฐานใหญ่อยู่ที่นครสวรรค์ด้วย
วันนี้ "ภัทรประสิทธิ์" เคลื่อนไหวอย่างเงียบ ๆ เข้าไปยึดหัวหาดทางด้านพัฒนาที่ดินอย่างเต็มตัวแล้ว
และถ้าพิจารณาจากจำนวนรวมทั้งขนาดของโครงการแล้ว ก็จัดว่า "ภัทรประสิทธิ์"
เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของวงการเรียลเอสเตทของเมืองไทย
กลไลการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภัทรประสิทธิ์คือ บริษัทภัทรยูโรมิลล์ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ชื่อ
ยูโรมิลล์ โดยจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางธุรกิจนี้ เกิดจากสัมพันธภาพที่
JAN COOLAN กรรมการคนหนึ่งของยูโรมิลล์ ได้มาแต่งงานกับหลานสาวในตระกูลภัทรประสิทธิ์
ขณะนี้บริษัท ภัทรยูโรมิลล์ จำกัดมีโครงการพัฒนาอยู่ 5 โครงการ โครงการแรกคือ
ไพร์มสเตท มินิออฟฟิศร่วมลงทุนกับบริษัท แกรนด์ไทเซของญี่ปุ่น อัตราส่วน
50:50 เป็นโครงการมินิออฟฟิส 48 ตึก ริมถนนศรีนครินทร์มีมูลค่าโครงการทั้งสิ้น
700 ล้านบาท
โรงแรมโนโวเทล บางนา เป็นโครงการต่อไปซึ่งร่วมทุนกับกลุ่มแอคคอร์ จากฝรั่งเศส
อัตราส่วน 50:50 มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 920 ล้านบาท
โรงแรมเพนนินซูล่า ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โครงการลำดับสามที่ร่วมทุนกับบริษัทฮ่องกง
แอนด์ เซี่ยงไฮ้ จำกัด ในอัตราส่วน 50:50 โครงการนี้ใช้งบลงทุนสูงถึง 6,000
ล้านบาท
อาคารสำนักงาน 208 ถนนวิทยุ เป็นอีกโครงการที่ร่วมลงทุนกับบริษัทฮ่องกง
แอนด์ เซี่ยงไฮ้ โฮเต็ล จำกัด ในอัตราส่วน 50:50 เป็นสำนักงานสูงถึง 18 ชั้น
รวมเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท
สนามกอล์ฟ ทาวน์ แอนด์ คันทรีคลับ จำนวน 1,200 ไร่ เป็นการร่วมทุนกับบริษัทฮ่องกง
แอนด์ เซี่ยงไฮ้และเจ้าของที่ดินดั้งเดิมคือ สนามกอล์ฟ ไทยคันทรีคลับในอัตราส่วน
37.5:37.5:25
และในอนาคตอันใกล้นี้หลังจากที่กลุ่มภัทรประสิทธิ์ได้เข้าไปจับมือร่วมกับกลุ่ม
เอ็นซีซี เมเนจเมนท์ แอนด์เดเวลอปเมนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารศูนย์ประชุมสิริกิตติ์ในปัจจุบัน
ซึ่งประกอบด้วยหัวเรือใหญ่ อย่างเช่นประพันธ์ อัศวอารีย์, ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์,
สุเทพ บูลกุลร่วมกันสังสรรค์โครงการใหญ่ 3 โครงการ
อันดับแรกจะเป็นคอนโดมีเนียม 30 ชั้น บนที่ดินเช่าของบริษัทที่อยู่ติดกับอาคารศุภาคาร
ด้วยเนื้อที่มากถึง 54,000 ตารางเมตร
อันดับ 2 ก็จะเป็นการจัดตั้งบริษัทเอ็นซีซี คลีนนิ่งเซอร์วิส จำกัด เพื่อรับงานทำความสะอาด
โดยจะรับงานในเครือภัทรประสิทธิ์-ยูโรมิลล์และของเอ็นซีซีเป็นขั้นต้น และจะขยายขอบเขตออกไปในอนาคต
อันดับ 3 จะเป็นบริษัทเอ็นซีซี ซีเคียวริตี้ การ์ด เซอร์วิส จำกัด ซึ่งจะรับงานรักษาความปลอดภัย
เพื่อให้สอดคล้องกับบริษัททำความสะอาดบริษัททั้ง 2 นี้คาดว่าจะจัดตั้งขึ้นและรับงานได้เร็ว
ๆ นี้
จากการร่วมมือทั้ง 2 รูปแบบของกลุ่มภัทรประสิทธิ์จะเห็นได้ถึงพัฒนาการของกลุ่มนี้ว่า
ในช่วงแรกนั้นทางกลุ่มจะเน้นหากลุ่มลงทุนที่มีความสามารถทั้งทางด้านการเงินและประสบการณ์ด้านการบริหารโครงการ
หรืองานก่อสร้างมาก่อนเป็นอย่างดีจากต่างชาติเพื่อประกันความเสี่ยงของกลุ่มตัวเองที่เพิ่งเข้ามาสู่วงการใหม่
ๆ
เมื่อปีกกล้าขาแข็งขึ้นแล้ว กลุ่มภัทรประสิทธิ์ ก็พร้อมจะร่วมทุนกับกลุ่มของคนไทย
สุพล พันธุมโกมล ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ภัทร ยูโรมิลล์ จำกัด อดีตคีย์แมนทางด้านการเงินของวินัย
พงศธร กลุ่มเฟิสท์ แปซิฟิค ซึ่งถูกกลุ่มภัทรประสิทธิ์ดึงตัวมาช่วยปรับปรุงกลยุทธ์ด้านพัฒนาที่ดินโดยเฉพาะได้เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการพัฒนาที่ดินในช่วงต่อไปว่า
หลังจากนี้ไป ทางกลุ่มเริ่มมีความพร้อมที่จะเข้าพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้นแทนที่จะต้องให้ผู้ร่วมทุนลงขันถึง
50% อย่างที่เป็นมาในอดีต
พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ร่วมทุนจากในหรือนอกประเทศเข้ามาพร้อมเงินในกระเป๋าก็เพียงพอแล้ว
เมื่อดูถึงความพร้อมของตระกูลภัทรประสิทธิ์ ที่จะเข้ามาลุยในตลาดนี้แล้ว
ด้วยความได้เปรียบในอดีตที่ระดับคีย์แมนของกลุ่มเช่น นงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์
หรืออัมพุชในปัจจุบัน ได้ใช้กำไรจากธุรกิจเหล้าที่เก็บออมไว้ หาซื้อที่ดินเก็บไว้เป็น
LAND BANK รองรับเพื่อรังสรรค์โครงการต่าง ๆ ในอนาคต
"นักพัฒนาที่ดินที่ประสบผลสำเร็จส่วนใหญ่นั้น จะต้องมีการหาซื้อที่ดินเก็บไว้มาเป็นเวลานานพอสมควร
อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป เพราะถ้าต่ำกว่านี้แล้ว ความคุ้มค่าที่จะพัฒนาจะน้อยลงตามลำดับ"
LAND BANK ที่ตระกูลภัทรประสิทธิ์ เก็บหอม รอมริบไว้จนถึงเดี๋ยวนี้นั้น
มีทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิเช่น ที่ซอยทองหล่อ 12-15 ไร่ ที่ถนนพระรามเก้าข้างหลังอาคารว่องวานิช
หรือที่ 1 ไร่ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของโรงภาพยนตร์บางกอกรามา ซึ่งจะร่วมทุนกับกลุ่ม
ACCORE รังสรรค์โครงการใหม่ในอนาคตนอกจากนั้นยังมีอีก 30 ไร่ ที่หนองแขมใกล้
ๆ กับมหาวิทยาลัยเอเซีย
ส่วนในต่างจังหวัดนั้น ก็ที่เชียงใหม่เป็นจุดหลัก ทั้งในตัวเมือง และที่
อ.แม่ริม ซึ่งจะได้มีการวางแผนขึ้นโครงการต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต
แม้ว่ากลุ่มภัทรประสิทธิ์จะก้าวขึ้นมาเป็นนักพัฒนาที่ดินอย่างเต็มตัวในช่วงนี้แล้วก็ตาม
แต่ความเป็นภัทรประสิทธิ์ที่ชอบจะทำงานอยู่เบื้องหลังโดยทำตัวให้โลว์ โปรไฟล์อย่างสม่ำเสมอนั้น
ก็ยังคงอยู่ต่อไปอย่างคงเส้นคงวา
ดูได้จากรายชื่อบริษัทที่เป็นผู้บริหารโครงการต่าง ๆ ที่กลุ่มภัทรประสิทธิ์ได้เข้าไปร่วมลงทุนนั้น
จะไม่มีคำว่า "ภัทรประสิทธิ์" เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแม้แต่โครงการเดียว
เพราะบทสรุปของการอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการเข้าไปร่วมทุนในเดอะมอลล์สรรพสินค้า
แบงก์เอเชียหรือบริษัทสุรามหาราษฎร์ บ่งบอกและตอกจิตสำนึกของกลุ่มภัทรประสิทธิ์ตลอดเวลาล่าการไปถึงเป้าหมายนั้นไม่ต้องทำตัวให้เด่นดัง