|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.เกียรตินาคิน ปรับลดดัชนีปีนี้เหลือ 660-740 จุด จากเดิม 780-830 เหตุ ปัจจัยลบรุมเร้าต่อเนื่อง ทั้งมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงิน ระเบิด การเมือง แก้ไขพ.ร.บ.ต่างด้าว กดดันความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศ “วิริยา” เผย ปี50ผลประกอบการกลุ่มอสังหาฯโตเด่นสุด 29% ชี้ "เอ็ม ลิ้งค์" แชมป์ดีวีเดนยิวสูงสุด 2ปีซ้อน
นางสาววิริยา ลาภพรมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เกียรตินาคิน จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 50 ลดลงเหลือ 660-740 จุด จาก 780-830 จุด เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯประมาณ 8 แห่ง ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยังหาผู้กระทำความผิดไม่ได้ การที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจต่างด้าว พ.ค. 2542 และการออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ที่กันสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้ 30%แม้จะยกเว้นการลงทุนในตลาดหุ้นก็ตรม ส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน
ทั้งนี้หากทิศทางค่าเงินบาทยังคงผันผวนซึ่งยังไม่เข้าสู่เถียรภาพที่ทางธปท.คาดหวัง ร่างรัฐธรรมนูญไม่ปลอดโปร่ง การเมืองยังมีกระแสคลื่นใต้น้ำนักลงทุนกังวลในเรื่องพ.ร.บ.ต่างด้าวและต่างประเทศยังคงชะลอการลงทุนซึ่งจะดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ 660 จุด มีค่าP/Eที่ 7-7.5 เท่า แต่หากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ร่างรัฐธรรมนูญค่อนข้างปลอดโปร่ง การเมืองผ่อนคลายในทางที่ดีขึ้น นักลงทุนต่างประเทศคลายความกังวลเรื่องพ.ร.บ.ต่างด้าวและนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาลงทุนก็จะทำให้ดัชนีปีนี้อยู่ที่ 700 จุด มีค่าP/E7.5-8 เท่า ได้ แต่หากปัจจัยดังกล่าวมีความชัดเจนนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุน ก็จะทำให้ดัชนีปรับตัวได้ถึง 740 จุด P/E8.5เท่า
สำหรับปัจจัยที่จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ การเบิกจ่ายของภาครัฐปี 2550 ที่จะเกิดขึ้นในต้นปีนี้ มีผลต่อโครงการ เมกกะโปรเจ็กต์ในการก่อสร้างรถไฟฟ้า 5 สาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงการที่ราคาหุ้นไทยอยู่ระดับต่ำที่ 7-7.5 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
นางสาววิริยา กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2550 เมื่อเทียบกับปี 2549 ที่จะเติบโตโดดเด่น 5 อันดับแรก คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 29% กลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้น 19.34% กลุ่มการแพทย์ เพิ่มขึ้น 17% กลุ่มวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น 13% กลุ่มเทคโนโลยี โต 10% %เป็นผลจากฐานในปี 2549 อยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยังมีความเสี่ยงสูงจากความไม่ชัดเจนของการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การประกอบธุรกิจโทรคมนาคม ส่วนกลุ่มพลังงานที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังมีผลการเติบโตที่ลดลงเหลือเพียง 6.35%
ทั้งนี้บริษัทได้รวบรวมหุ้นที่คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในปี 2550 ของหุ้นที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า 5% ขึ้นไป ซึ่งบริษัทที่มีผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK คาดว่าจะจ่ายเงินปันผล 0.20 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล14.93% บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL คาดจ่ายปันผล 0.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น ผลตอบแทนจากเงินปันผล 14.29% บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK คาดจ่ายปันผล0.28 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น ผลตอบแทนจากเงินปันผล11.48% บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN คาดจ่ายปันผล 2.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 10.26% และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA คาดจ่าย 2.60 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 9.63%
ส่วนในปี2549คาดว่าบริษัทที่จะมีการจ่ายเงินปันผลและให้ผลตอบแทนสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย MLINK คาดจ่ายปันผล 0.15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 21.43% บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด (มหาชน) หรือ RPC คาดจ่าย 0.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น ผลตอบแทนจากเงินปันผล 13.66% บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH คาดจ่าย 0.11 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 10.89% และ SHIN คาดจ่ายปันผล 2.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 9.40%
|
|
|
|
|