|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แม้จะไม่ติดอันดับ Top Five ของดีเวลลอปเปอร์ที่มีรายได้สูงสุด แต่ปริญสิริอาศัยจุดแกร่งต่างๆ ที่มีจนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นที่น่าจับตามอง และเมื่อปริญสิริเลือกจะทำตลาด Mass เจาะทุกเซกเมนต์ จึงทุ่มงบสื่อสารการตลาดอย่างหนัก เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำแบรนด์ หลังตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อต้องการสร้างแบรนด์ และการยอมรับของสาธารณชนเท่านั้น เพราะบริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินอยู่แล้ว การตัดสินใจครั้งนั้นถือเป็นก้าวย่างสำคัญ เพราะความเป็นเจ้าของจะไม่จำกัดอยู่แค่ภายในครอบครัวอีกต่อไป และยังมีพันธสัญญาที่จะต้องผลักดันบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นที่พึงพอใจของผู้ถือหุ้น
ช่วงแรกปริญสิริเน้นพัฒนาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ตามความถนัด ผุด “The Pulse” คอนโดมิเนียมกลางเมืองใน ซ.ลาดพร้าว 44 ราคา 1.29 ล้านบาท สนองดีมานด์ยุคน้ำมันแพง ตามคอนเซ็ปต์เดิม คือ สร้างเสร็จก่อนขาย เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ แม้จะลุยตลาดคอนโดมิเนียมครั้งแรก แต่ก็ประสบความสำเร็จงดงาม เพราะเป็นการทำตลาดอย่างถูกที่ถูกเวลา
ชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ว่าบริษัทฯ จะเข้ามาดูแลทุกกระบวนการเองตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อลดต้นทุนจากการ Outsource แม้จะเหนื่อยมาก แต่ก็สามารถรักษาสัดส่วนกำไรไว้ได้ และตั้งราคาขายได้ต่ำกว่าคู่แข่ง นอกจากนี้การเป็นองค์กรขนาดเล็ก จึงคล่องตัว ตัดสินใจได้รวดเร็ว ได้เปรียบกว่าคู่แข่งรายใหญ่ และจะให้ทีมวิจัยเวลา 1 เดือนศึกษาทำเลก่อนตัดสินใจซื้อที่ดิน ก่อนลงมือก่อสร้างทันที โดยจะมีการดีไซน์รูปแบบโครงการพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว ปริญสิริจะเน้นการเปิดทำเลใหม่ๆ ที่ไม่ชนกับคู่แข่งโดยตรง และเป็นทำเลที่มีช่องว่างให้ปริญสิริเข้าไปทำตลาดได้
รวมทั้งใช้การ Synergy มาเสริมให้เกิดความแข็งแกร่งด้วยการร่วมทุนกับยูนิเวนเจอร์ ตั้ง “ปริญเวนเจอร์” ขึ้น พัฒนาโครงการบนที่ดินที่ยูนิเวนเจอร์เป็นผู้จัดหา โดยยูนิเวนเจอร์ถนัดด้านการจัดหาที่ดิน และแหล่งเงินทุนที่จะนำมาพัฒนาในต้นทุนต่ำ เป็นความพยายามจะลดต้นทุนด้านการเงิน ให้เกิดความได้เปรียบจนตั้งราคาขายได้ต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในย่านเดียวกัน
“ที่ผ่านมาผลประกอบการของปริญสิริเติบโตมาตลอด และตั้งเป้าเติบโตอย่างน้อย 15% ทุกปี ปี 2549 มีการเติบโตถึง 30% สูงกว่าที่ตั้งไว้เดิม 1 เท่าตัว ปีนี้เตรียมเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท สำหรับ 6-7 โครงการ โดยจะลดสัดส่วนบ้านเดี่ยวระดับกลางลง และจะมีรายได้จากคอนโดมิเนียมเข้ามาแทน ซึ่งตลาดนี้ได้กำไรสูงกว่า แต่ความเสี่ยงก็มากกว่าบ้านเดี่ยว เพราะหากตึกไม่เสร็จ ก็โอนรับรู้รายได้ไม่ได้ ส่วนภาวะโอเวอร์ซัปพลายยังไม่กังวล เพราะมั่นใจว่าทำเลที่มีอยู่ในย่านใจกลางเมือง สามารถเป็นจุดขายได้ดีอยู่แล้ว ได้แก่ สาทร-นราธิวาสราชนครินทร์, ราชปรารภ, อ่อนนุช และพหลโยธิน เน้นตั้งราคาขายไม่สูง เพื่อให้ขายได้เร็ว และจะผลักให้สัดส่วนรายได้แนวราบและแนวสูงในอนาคตกลายเป็น 50:50 ทันที” ชัยวัฒน์ กล่าว
ส่วนกระแสข่าวเรื่องการร่วมทุนกับกลุ่มทุนต่างชาติ มีเพียงกองทุนจากฮ่องกง สิงคโปร์ให้ความสนใจ แต่ยังไม่ตอบตกลงกับรายใด ซึ่งปริญสิริต้องการผู้ร่วมทุนที่มาเสริมด้าน Know-How ในการก่อสร้างอาคารสูงมากกว่า แม้ปีนี้จะยังไม่มีผู้ร่วมทุนเข้ามา แต่มั่นใจว่าวงเงินลงทุนมีเพียงพอสำหรับปีนี้ โดยไม่ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน
ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาปริญสิริมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด และยังมีโอกาสที่จะขยายตัวและเพิ่มอัตราส่วนกำไรได้อีก เนื่องจากยังมีอีกหลายเซกเมนต์ที่ยังไม่เคยเข้าไปลงทุนมาก่อน ปีนี้จึงมีแผนจะรุกเข้าไปทำตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 1-2 ล้านบาทเพิ่ม โดยอยู่ระหว่างวางแผนเพื่อปั้นเป็นแบรนด์ใหม่ มีความคืบหน้าแล้ว 40-50% จะเผยโฉมให้เห็นในครึ่งปีหลังนี้ ในทำเลราชพฤกษ์ รัตนาธิเบศร์ อิงแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) และจะเป็นครั้งแรกที่เข้ามาท้าชนกับ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยักษ์ใหญ่ที่มีแลนด์แบงก์และโครงการอยู่ในย่านนี้จำนวนมาก ซึ่งก้าวเข้ามาทำตลาดระดับ 1 ล้านบาทต้นๆ มาก่อนแล้ว
ปัจจุบันสัดส่วนหนึ้สินต่อทุนของ ปริญสิริ อยู่ที่ 1.57 ซึ่งเป็นอัตราที่สูง ทั้งนี้น่าจะมาจากปีที่แล้วที่มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งยังไม่รับรู้รายได้ทันที แต่จะไปรับรู้รายได้ในปีถัดไปในสัดส่วน 30-40% หรือ 3,000-4,000 ล้านบาท ทำให้ปีนี้ปริญสิริต้องทำงานอย่างหนัก ก่อนจะรับรู้รายได้ในปี 2551 ซึ่งจะทำให้ปีดังกล่าวมีรายได้เติบโตก้าวกระโดดมากที่สุด ทั้งนี้ปริญสิริต้องเตรียมตัวปรับปรุงโครงสร้างภายในให้พร้อมต่อการขยายตัวขององค์กร
จากนี้ไปคงต้องคอยจับตาดูว่า การรุกหนักของปริญสิริที่มีเดิมพันไปสู่การเป็น 1 ใน 5 ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ จะสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ ต้องติดตาม...
|
|
|
|
|