"ทีเอ" ลงทุนเพิ่มพีซีทีอีก 500 ล้านบาท ใช้อุปกรณ์เครือข่ายจากจีน ย้ำพีซีทีมีจุดแข็งด้านสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงที่สามารถแข่งขันได้
ตั้งเป้ายอดสิ้นปี 7 แสนเครื่อง เตรียมเจรจาทศท.ขอให้บริการภูมิภาค พร้อมบุกตลาดบริการนอนวอยซ์อิงยุทธศาสตร์
Multimedia Access Solution Provider
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มบริษัท
เทเลคอมเอเซียฯหรือทีเอกล่าวว่า พีซีทีหรือโทรศัพท์บ้านยุคใหม่ซึ่งเป็นบริการในกลุ่มทีเอ
จะลงทุนเพิ่มอีก 400-500 ล้านบาท เพื่อขยาย เครือข่ายใน 2 ลักษณะคือเพิ่มพื้นที่บริการให้ครอบคลุมมากขึ้น
เพิ่มความหนาแน่นของช่องสัญญาณในการให้บริการในอาคาร และทำให้การเชื่อมต่อของสัญญาณระหว่างแต่ละสถานีฐานเป็นไป
อย่างต่อเนื่องมากขึ้น
"เรามีโอกาสขยายเครือข่ายโดยซื้ออุปกรณ์จากเวนเดอร์จีน ที่ให้บริการอยู่"
เขากล่าวว่าพีซีทียังมีจุดแข็งในการทำตลาด คือความสามารถในการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง
ซึ่งปัจจุบันลูกค้าของพีซีทีมีอยู่ประมาณ 6.3-6.4 แสนราย และถ้าในปีนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ
ไม่ได้มีการแข่งขันที่รุนแรงมากนัก พีซีทีก็มีโอกาสทำยอดขายเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับฐานลูกค้า
7 แสนราย
ในขณะเดียวกับที่บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น มีการเปลี่ยนบอร์ดชุดใหม่ พีซีทีก็ยังมีความต้องการที่จะเข้าไปเจรจาเพื่อขอขยายบริการพีซีทีออกไปในส่วนภูมิภาค
ซึ่งที่ผ่านมาพีซีทีเคยทำหนังสือไปยังทศท.ครั้งหนึ่ง เพียงแต่ทำในนามบริษัท เอเชีย
ไวร์เรส คอมมูนิเคชั่นหรือ AWC ทำให้ทศท. ทำหนังสือตอบกลับมาว่า AWC ไม่ใช่คู่สัญญาโดยตรงกับทศท.
หากต้องการให้บริการพีซีทีในภูมิภาค ก็ต้องทำในนามทีเอที่เป็นคู่สัญญากับทศท. ซึ่งการอนุมัติให้บริการในภูมิภาค
ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้มีคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เนื่องจาก AWC
ให้บริการภายใต้สิทธิของทศท.เหมือนการที่ AWC ให้บริการพีซีทีของทีเอกับของทศท.
"ทีเอยังต้องการให้บริการพีซีทีในต่างจังหวัด หากได้เงื่อนไขเดียวกับที่ทีทีแอนด์ที
เคยได้จากทศท. เนื่องจากยังมีความต้องการของลูกค้าอยู่" นาย ศุภชัยกล่าวในงานแสดงเทคโนโลยี
"TelecomAsia Technology Tomorrow 2003" ของกลุ่มทีเอซึ่งเป็น การแสดงความก้าวหน้าเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมและการสัมมนาทางวิชาการ
โดยไฮไลต์ในงานคือการถ่ายทอดสดการบรรยายของ ศาสตราจารย์ฟิลลิป คอทเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการจัดการ
จากมหาวิทยาลัย Kellogg School of Management,Northwestern University ประเทศสหรัฐเอมริกาด้วยเทคโนโลยีการส่งภาพและเสียงในระบบ
3 มิติ ในหัวข้อเรื่อง "Revolutionize Marketing Through ICT"
นายศุภชัยกล่าวว่างานแสดงเทคโนโลยีดังกล่าว เป็นการตอกย้ำภาพทิศทางการทำธุรกิจของกลุ่มทีเอที่มุ่งไปสู่การเป็น
Multimedia Access Solution Provider โดยมองถึงการให้บริการที่เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันในเชิงเพิ่มมูลค่าให้องค์กรและ
การใช้งานของผู้บริโภค ผ่านการเชื่อมต่อทั้งมีสายและไร้สายไม่ว่าจะเป็น ADSL หรือบริการโทรศัพท์มือถือของทีเอออเร้นจ์
ปัจจุบันทีเอมีเลขหมายที่ใช้ในกลุ่มลูกค้าธุรกิจประมาณ 28% ของเลขหมายทั้งหมด
โดยที่ลูกค้ากลุ่มนี้ทำรายได้ให้มากถึง 50% ซึ่งในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าในกรุงเทพฯมีความเป็นไปได้สูงที่
รายได้ของลูกค้าองค์กรจะเพิ่มมากกว่าครึ่ง แต่ถ้าหากการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในลักษณะการใช้งานในบ้านหรือโฮมยูสหรือผู้บริโภคเป็นส่วนบุคคลมีการใช้งานมากขึ้นด้วยความเร็วสูงขึ้น
พร้อมทั้งมีคอนเทนต์หรือเนื้อหาข้อมูลที่ได้รับความสนใจ ก็อาจกระตุ้นให้สัดส่วนรายได้ระหว่างลูกค้าองค์กรกับลูกค้าบุคคล
กลับมาเท่ากันก็เป็นได้
"งานนี้ถือเป็น Educative Event ให้ความรู้ความเข้าใจสินค้าและบริการของกลุ่มทีเอ
และแนวโน้มองค์กรธุรกิจในการประยุกต์ใช้ไอซีทีเพื่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น
เป็นบริการที่เพิ่มมากกว่าบริการสื่อสารขั้นพื้นฐาน"
เขากล่าวย้ำว่าตอนนี้ทีเอยังไม่มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นแต่อย่างใด ส่วนการปรับโครงสร้างการบริหารงานนั้นทำเป็นประจำทุกปี
รวมทั้งกำลังดูความเหมาะสมและความพร้อม ของตลาดในการออกหุ้นกู้ ซึ่งรายได้หลักของกลุ่ม
ทีเอยังมาจากโทรศัพท์พื้นฐาน ส่วนรายได้จากการสื่อสารข้อมูลและอินเทอร์เน็ต รวมกันประมาณ
เกือบ 20% แต่ในอนาคตรายได้ในลักษณะนอนวอยซ์จะเพิ่มมากขึ้น
ส่วนกรณีค่าแอ็คเซ็สชาร์จที่ทีเอออเร้นจ์ต้องจ่ายให้ทศท.เลขหมายละ 200 บาทนั้น
เป็นเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการคิดค่าเชื่อมโยงโครงข่ายหรือ อินเตอร์คอนเนกชั่นชาร์จ
ที่จะต้องมีการจ่าย 2 ขา คือทั้งรับ(ในกรณีที่เข้ามาใช้โครงข่ายทีเอออเร้นจ์) และจ่าย
(ในกรณีที่เข้าไปใช้โครงข่ายผู้ให้บริการรายอื่น) ไม่ใช่การจ่ายขาเดียวให้ทศท.เหมือนในปัจจุบัน
ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกรมไปรษณีย์โทรเลข ในฐานะเลขานุการกทช.ใน อนาคต
ที่ยังไมได้ข้อสรุป นายศุภชัยกล่าวว่าต้องรอดูการดำเนินการในเรื่องนี้ก่อนซึ่งถือว่ามีความ
คืบหน้าด้วยดี แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะฟ้องร้องการสื่อสารแห่งประเทศไทย(กสท.)
ที่เพิกเฉยในเรื่องดังกล่าว พร้อมย้ำว่าทิศทางธุรกิจในปีนี้ของ ทีเอออเร้นจ์คือมุ่งในเรื่องคุณภาพของโครงข่าย
และคุณภาพในการให้บริการเป็นหลักถึงแม้จะมียอดหนี้สูญประมาณ 10-15% ก็ถือเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมนี้
ทีเอ ออเร้นจ์ยังอยู่ระหว่างเจรจาขยาย เครือข่ายกับอัลคาเทลมูลค่าประมาณ 160
ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้รับการสนับสนุนด้านการเงินอย่างเต็มที่จากซัปพลายเออร์ทำให้เครือข่ายของ
ทีเอออเร้นจ์ครอบคลุมทั่วประเทศ