ภาครัฐ - เอกชนขานรับตามแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง ”ปรับใช้ในปี2550 เชื่อไม่สวนทางตลาดโลกเสรีแต่กลับสร้างเศรษฐกิจแข็งแกร่งแบบยั่งยืน ขณะที่สภาอุตฯน้อมรับจับมือสสว.คลอด 6 โครงการพัฒนา SMEs ให้โตทั้งในและนอกประเทศ ด้านบริษัทเอกชน ‘มาม่า –ปูนซิเมนต์ไทย’ ใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจ
ภายหลังที่ โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหมายให้ สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปรับใช้กับภาคอุตสาหกรรมโดยรัฐบาลต้องการอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อเป็นพันธมิตรช่วยกันคิดและทำงานร่วมกันโดยตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ สามารถพึ่งพาตนเองได้
นอกจากนี้ให้ส.อ.ท.มีบทบาทชี้แนะการปรับบทบาทการทำงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้สอดคล้องกับความต้องการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยให้มีผลิตภาพสูงขึ้น และนำความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต เพื่อใช้ความรู้ที่ได้รับนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทำให้อุตสาหกรรมไทยพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
สภาอุตฯจับมือสสว.พัฒนา SMEs
สันติ วิลาศสักดานนท์ ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ได้มีการหารือกับสมาชิกหลายครั้งในการประชุม แต่ยังไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม หากบริษัทใดมีความพร้อมก็ทำไปก่อน โดยเฉพาะสมาชิกในต่างจังหวัดส่วนมากก็ธุรกิจแบบพอเพียงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดีสภาอุตฯจะจัดงาน “Dinner Talk มองเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2550/Thai Industry Outlook 2007 ” ในวันที่ 29 มกราคม ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ เพื่อเป็นการกระตุ้นและสร้างให้ภาคเอกชนมีความเข้าใจถึงเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย และเพื่อรับทราบข้อมูลความรู้ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินกิจการให้สามารถปรับทันตามสถานการณ์ปัจจุบันและ สามารถแข่งขันได้โดยได้เชิญพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษเรื่อง“เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย”
“การจัดงานดังกล่าวจะทำให้เอกชนในภาคอุตสาหกรรมที่กำลังตัดสินว่าจะทำธุรกิจแบบเศรษฐกิจในปีนี้ก็จะได้เกิดความมั่นใจ และลงมือลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังต่อไป” ประธานส.อ.ท.กล่าว
ขณะเดียวกันสภาอุตฯได้ร่วมกับสสว.ขับเคลื่อนโครงการส่งเสริม SMEs ใน 6โครงการเพื่อเพิ่มศักยภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจ SMEs เพื่อให้สามารถแข่งขันและมีมาตรฐานในระดับต่างชาติให้การยอมรับในผลิตภัณฑ์ที่ออกไปสู่ตลาดต่างประเทศได้
คลอด 6โครงการนำร่องพัฒนา
จิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า 6โครงการดังกล่าว เพิ่งผ่านบอร์ดบริหาร และอยู่ระหว่างรอการลงบันทึกข้อตกลง(MOU)กับสภาอุตฯ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าประธานส.อ.ท.และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมจะลงนามข้อตกลงดังกล่าวเพื่อขับเคลื่อนโครงการส่งเสริม SMEs ต่อไป
สำหรับงบประมาณใน6โครงการ ประมาณ1,200ล้านแบ่งออก2ส่วน คืองบประมาณ800ล้านสำหรับงบประมาณดำเนินใน 6โครงการคือ1.)โครงการยกมาตรฐานอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และยาง 2.)โครงการศูนย์บ่มเพาะเอสเอ็มอี ระดับ 5 ภาค 5 ศูนย์ 3. )โครงการจับคู่ทางธุรกิจเพื่อให้ผู้ซื้อและผู้ขายเชื่อมโยงหากัน 4.) โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพยกระดับการใช้เครื่องจักรของเอสเอ็มอีที่จะสนับสนุนช่วยลดดอกเบี้ยการกู้เงินจากสถาบันการเงินร้อยละ 2 ให้กับเอสเอ็มอี 5.)โครงการเครือข่ายระบบจัดส่งสินค้าและพัสดุหรือโลจิสติกส์ ซึ่งจะทำงานระหว่างผู้ประกอบการ เพื่อลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ และ 6. )โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับจังหวัดและภูมิภาค
ส่วนอีก400ล้านจะเป็นงบประมาณโครงสร้างทางปัญญาซึ่งได้ร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อให้นักวิจัยสามารถนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ SMEs ให้มีมาตรฐานสร้างมูลค่าเพิ่ม ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองลูกค้าทั้งในและนอกประเทศประเทศได้
ปี 50เดินหน้ายุทธศาสตร์พอเพียง
ในส่วนของการส่งเสริม SMEs ในปีงบประมาณ 2550 นั้นจะเน้นตามแผนแม่บทส่งเสริม SMEs ฉบับที่ 2 ปี 2550-2554 โดยนำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 และนโยบายรัฐบาลมาเป็นคิดหลักในการส่งเสริม ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอีทางสสว.จะให้ความสำคัญใกล้เคียงกัน ยกเว้นปัจจัยที่ช่วยสร้างธุรกิจให้กับเอสเอ็มอีจะได้รับงบประมาณมากที่สุด รองลงมาคือยุทธศาสตร์ที่จะช่วยส่งเสริมเอสเอ็มอีสาขาต่าง ๆ ทั้งภูมิภาคและระดับประเทศ ซึ่งส่วนนี้จะร่วมงานกับสภาอุตฯ อีกส่วนคือด้านการตลาดจะเป็นยุทธศาสตร์ในการสร้างเอสเอ็มอีให้สามารถออกไปจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ พร้อมกับเพิ่มผลิตภาพให้ด้วย โดยจะทำงานร่วมกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ ส.อ.ท. เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับเอสเอ็มอี
อีกทั้งสสว.มีแผนงานการดำเนินการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง คือกองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอี,แผนปฏิบัติการส่งเสริมเอสเอ็มอี, การบ่มเพาะ,สร้างช่องทางการตลาด, เสริมความรู้, รวมทั้งการสร้างเครือข่ายนวัตกรรม, รวมถึงการสร้างศูนย์ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กับธุรกิจSMEs
‘มาม่า’ยึดลงทุนแบบพอเพียง
ขณะเดียวกันมีบริษัทเอกชน ได้ยึดพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการประกอบกิจการ อาทิบริษัทม่าม่า โดย พิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า กล่าวถึงนโยบายการตลาดในของบริษัทฯว่า จะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งในรูปแบบของการลงทุนธุรกิจเดิมที่มีอยู่หรือธุรกิจใหม่จะลงทุนอย่างพอดี โดยจะพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจและการตลาดเป็นหลัก เช่น หากแนวโน้มตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโต 10% บริษัทฯจะลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรชนิดเพิ่มความเร็วในการผลิตเป็น 4 แสนซองต่อ 8 ชั่วโมงในนี้แต่หากตลาดเติบโตเพียง 5% คาดว่าอีก 2 ปีถึงจะลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรดังกล่าวมาผลิต
นอกจากนี้บริษัทฯยังหันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุกมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วโลก มีอัตราการเติบโต 10% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความเร่งรีบในชีวิต และบะหมี่ฯเป็นอาหารที่สะดวก ราคาไม่สูง ดังนั้นบริษัทฯได้ปรับแผนการตลาดต่างประเทศ จากเดิมทำตลาดในลักษณะตอบสนองความต้องการของตลาด มาเป็นการสร้างความต้องการใหม่ๆให้กับตลาด โดยการออกรสชาติเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะคนท้องถิ่น โดยเริ่มดำเนินการแล้วที่อเมริกา และยุโรปนอกจากนี้เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสู่ไฮเปอร์มาร์เก็ต ในประเทศเยอรมัน แคนาดา ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย
ชูรสชาติใหม่เน้นความพอเพียง
ส่วนแผนการออกรสชาติใหม่ทางบริษัทฯจะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยลดการออกรสชาติใหม่ๆลงเหลือเพียง 2-3 รสชาติเท่านั้นจากเดิมเปิดตัว10 รสชาติขณะที่งบการตลาดปีหน้าวางแผนใช้เท่าเดิมคือ 500 ล้านบาท เนื่องจากคาดการณ์ว่าสภาพตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่ากว่า10,000 ล้านบาท ในปีนี้การแข่งขันด้านราคาจะลดน้อยลง เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะแป้งสาลีซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 65% จะมีราคาแพงขึ้นจากปีนี้ราคา 290 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตันเพิ่มเป็น 390 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน
SCG ปรับตัวรับศก.พอเพียง
ด้านบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ก็มีนโยบายการบริหารงานให้สอดรับกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงในปีนี้คือ บริหารค่าจ้าง และสวัสดิการโดยเน้นความสมดุล และการตอบสนองผลประโยชน์ที่เป็นธรรมแก่ผู้ถือหุ้น, สรรหาและคัดเลือกและคัดเลืกคนอย่างเป็นระบบโดยยึดหลัก"คนดีและคนเก่ง" และมีโครงการพัฒนาภาวะผู้นำ ,รับบุคลากรเท่าที่จำเป็นโดยการจัดคนเข้าทำงานให้เหมาะกับลักษณะงานที่รับผิดชอบ,จัดสรรเงินทุนเพื่อการศึกษาด้านต่างๆเพื่อต่อยอดความรู้ของพนักงานเป็นการ"สะสมทุนมนุษย์"เพื่อสร้างขีดคสามสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจระยะยาว
นิด้าสร้างเครือข่ายยุทธศาสตร์พอเพียงหนุนชุมชนจับมือผู้ประกอบการแปลงขยะเป็นทอง
‘นิด้า’ หนุนชุมชนทั่วกรุงเทพฯหันใช้ขยะหมักสดทำน้ำยาล้างจาน –ล้างท่อ – ล้างห้องน้ำลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ทั้งจับมือกับองค์กรสำคัญ โรงเรียน โรงแรม ตลาดสดหันพึ่งขยะที่เหลือสร้างมูลค่าเพิ่มทำให้เกิดรายได้ ทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างชุมชนกับผู้ประกอบการในพื้นที่
รศ.ดร.แตงอ่อน มั่นใจตรง อาจารย์คณะพัฒนาสังคมสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงการส่งเสริมชุมชนบนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริว่า ทุกองค์กรสามารถปรับตัวมาใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริได้อย่างง่ายๆอย่างบ้านเรือนทั่วไปที่มีขยะสด อาทิ เปลือกส้ม ,สับปะรด. , มะนาว ,มะกรูด ฯลฯ ก็จะสามารถนำมาหมักสดกับน้ำตาลทรายแดงเพื่อเป็นสารสกัดชีวะภาพ สารซักล้าง โดยมีคุณสมบัติโดดเด่นสามารถใช้แทนน้ำยาซักล้างที่มีอยู่ตามท้องตลาด และไม่มีสารเคมีใดเลย โดยครัวเรือนที่ทำน้ำยาขึ้นเองสามารถลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนทั้งยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดีโครงการดังกล่าวได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากโรงเรียนในกรุงเทพฯกว่า 180 โรงเรียนอาทิ โรงเรียนลำสาลี โรงเรียงเทพลีลา โรงเรียนบดินทร์เดชา 2 ที่ส่งเสริมโครงการดังกล่าวไปใช้ในโรงอาหารก็สามารถประหยัดน้ำยาล้างจานโดยนำเอาเปลือกผลไม้ที่เหลือมาหมักเองสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ขณะเดียวเด็กนักเรียนยังมีรายได้จากการขายสารสกัดชีวะภาพ น้ำยาซักล้างเหล่านี้อีกด้วย
“สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือเกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างสถานประกอบการกับชุมชนใกล้เคียง เพราะชุมชนใกล้เคียงสามารถนำสารสกัดชีวะภาพ สารซักล้างไปจำหน่ายให้ผู้ประกอบการ ทั้งยังร่วมมือช่วยกันดูแลน้ำที่ปล่อยลงในคลองต่างๆทั่วกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดี ” ดร.แตงอ่อน ระบุ
ดร.แตงอ่อนกล่าวอีกว่ายังมีตลาดสดที่สนเข้าร่วมโครงการ คือตลาดสดนครไทถนนอยู่ลาดพร้าว ตลาดคลองเตยที่ได้เริ่มโครงการดังกล่าวไปแล้วสามารถลดขยะที่มีสูงถึงวันละ14 ตันแต่พอเอาวิธีการดังกล่าวไปใช้สามารถลดขยะลงเหลือวันละ 6ตันเท่านั้น ทั้งท่อระบายน้ำที่เคยมีการอุดตันก็ไม่มีปัญหานอกจากนี้แล้วโรงแรมที่ริเริ่มโครงการดังกล่าวเช่นโรงแรมเดอะไดนาสตี้ที่มีปัญหาขยะอุดตันท่อน้ำอยู่บ่อยๆ ก็เลยลองนำเอาเปลือกสับปะรดจำนวนมากที่เหลือจากการรับประทานมาหมักตามกรรมวิธีได้น้ำยาล้างท่อน้ำที่ได้ผลดีกว่าน้ำยาที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดซะอีก ทั้งกลิ่นที่ได้ก็หอมเป็นธรรมชาติจึงไม่เกิดปัญหาดังกล่าวอีก
สิ่งที่ตามมาจากใช้ขยะเหลือใช้แล้วมาพัฒนาเป้นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นสินค้าได้จากจุดนี้เอง เว็บไซต์ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ก็ได้นำเอาบทความดังกล่าวไปลงในเว็บไซต์ถึงการจัดการขยะได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากทุกคนทุกองค์กรร่วมมือกันจะสามารถช่วยกันลดขยะ สร้างมูลค่า สร้างรายได้บนพื้นฐานความพอดี ความพอเพียงตามแนวพระราชดำริได้
“ เราจะไปแนะนำให้ผู้ประกอบการว่าเขาสนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าวหรือไม่ แต่ไม่ใช่จะไปขายให้ผู้ประกอบการโดยตรง แต่ให้เขาไปคุยกับชุมชนในพื้นที่ว่ามีสิ่งไหนบ้างที่ทั้งชุมชนและผู้ประกอบการสามารถร่วมมือกันสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะได้ เป็นการสร้างเครือข่ายที่ใกล้ชิดกันซึ่งได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ” ดร.แตงอ่อน ระบุ
|