Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน11 มกราคม 2550
พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจต่างด้าว กระทบน้อยหวั่นจีดีพีร่วงฉุดอสังหาฯ             
 


   
search resources

Real Estate
อิสระ บุญยัง




ชี้ แก้ไขพ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ตอกย้ำต่างชาติไม่เชื่อมั่นรัฐบาล สับสนนโยบาย ชะลอการลงทุน ด้านธุรกิจอสังหาฯ กระทบทางอ้อม เชื่อรุนแรงในระยะสั้น แต่ระยะยาวจะส่งผลดี เหตุกฎหมายในการปฏิบัติของต่างชาติชัดจน ระบุนักลงทุนต่างชาติสนใจผลตอบแทนมากกว่าการถือครองกรรมสิทธ์หรืออำนาจบริหาร ยกจีนเป็นแบบอย่างผลตอบแทนสูงดึงต่างชาติแห่ลงทุน ด้านบิ๊กเอพี ระบุโรงแรม รีสอร์ทเมืองท่องเที่ยวอ่วม เข้าข่ายเพียบ ห่วงตัวเลขจีดีพีฉุดตลาดร่วง

นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในฐานะอุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การที่ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรองรับในหลักการ แก้ไข พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยให้แก้ไขใน 2 ประเด็นคือ กรณีการใช้สิทธิ์ออกเสียงของผู้ถือหุ้นต่างชาติเกิน 50% และการถือหุ้นโดยชาวต่างชาติ รวมทั้งการถือหุ้นแทนโดยคนไทยเกิน 50% (นอมินี) นั้น ถือ เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศให้เกิดการชะงัดการลงทุนออก ในประเทศไทยออกไป เนื่องจากสับสนในมาตรการของรัฐบาลไทยว่า ยังมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติหรือไม่ หลังจากที่ ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกมาตรการสำรองเงินนำเข้า 30% ซึ่งส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินลงทุนในประเทศ เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในท่าทีของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ส่วนผลกระทบที่จะเกิดในอตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น หากถามว่ามีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดหรือไม่นั้น คาดว่าผลกระทบคงไม่เกิดต่อตลาดอสังหาฯ โดยตรงแต่อาจะเกิดขึ้นโดยทางอ้อม ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วนักลงทุนต่างชาติ มีการชะลอตัวกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่หลังจากที่มีการแก้ไข พ.ร.บ. ดังกล่าวจึงยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เกิดการชะลอการลงทุนของต่างชาติออกไปเพราะความสับสนใจมาตรการภาครัฐฯ

"เมื่อผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการลงทุนในภาคธุรกิจย่อมเกี่ยวเนื่องถึงการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในตลาดอสังหาฯด้วย เพราะเมื่อต่างชาติชะลอการลงทุนก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ซึ่งต้องส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชน ในลักษณะระบบลูกโซ่" นายอิสระกล่าว

นายอิสระ กล่าวว่า การแก้กฏมหายดังกล่าวไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แต่การชะลอการลงทุนของต่างชาติมีปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งเกิดขึ้นจากการขาดความเชื่อมั่นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ อาทิ ปัจจัยการปฏิรูปการปกครอง เมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 การออกมาตรากาสำรองเงินนำเข้าจากต่างประเทศ 30% เหตุการณ์รอบวางระเบิดในกทม. เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 ส่วนการแก้กฎหมายดังกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งที่เข้ามากระทบ และย้ำให้เกิดการขาดความเชื่อมั่นมาตราการของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นกว่าที่เกิดในขณะนี้

ทั้งนี้ เดิมทีธุรกิจอสังหาฯ เองมีกฎหมายบังคับในเรื่องการประกอบธุรกิจคนต่างด้าวที่ชัดเจนอยู่แล้วในเรื่องการถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วนไม่เกิน 49% หรือการไม่อนุญาตให้คนต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ ก่อนหน้าได้มีการส่งหนังเวียนในกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการโอนที่ดิน การถือครองที่ดินของนอมินี ทำให้กรมที่ดินมีการเข้มงวดในการตรวจสอบการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ และการโอนที่ดินของบริษัทที่มีการถือหุ้นโดยนักลงทุนจากต่างชาติ

ดังนั้น การแก้กฎหมายในประเด็นดังกล่าวจึง ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดอสังหาฯ ซึ่งเท่าที่ทราบในเบื้องต้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ที่เข้าข่ายบัญชีที่ 1 มีอยู่ 6 รายเท่านั้น ซึ่งทั้ง 6รายนี้ต้องเร่งแก้ไขโดยการลดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติลงในระยะเร่งด่วนตาม กม. กำหนด ส่วนรายอื่น ๆนั้นส่วนใหญ่อยู่ในข่ายบัญชีที่ 2 และ 3 ซึ่งมีระยะเวลาที่ต้องแก้ไขยืดออกไป สำหรับในส่วนของอสังหาฯเองหากเป็นหากเป็นธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ที่มีผู้ถือหุ้นหรือร่วมทุนโดยชาวต่างชาติ นั้นโดยมากก็อยู่ในขอบข่ายบัญชีที่ 3 ซึ่งไม่กระทบมาก ส่วนในภาคธุรกิจก่อสร้างนั้น ก็ยังอยู่ในส่วนของบัญชีที่ 3

อย่างไรก็ตามในส่วนของการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมนั้น ต้องแล้วแต่ละกรณีเพราะไม่แน่ใจว่ามีการถือหุ้นทางตรงหรือทางอ้อมกันอย่างไร โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าการแก้กฎหมายดังกล่าว ถือว่าเป็นการยืนยัน และสร้างความชัดเจนด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย เพื่อให้มีแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม มีบรรทัดฐานในการปฏิบัติซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาว ส่วนในระยะสั้นนี้ จะมีผลกระทบต่อการชะลอตัวของการลงทุนแน่นอน แต่ในระยะยาวแล้วเชื่อว่าจะส่งผลให้การลงทุนของชาวต่างชาติมีบรรทัดฐานในการปฏิบัติที่ชัดเจน และมั่นใจว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในประเทศเหมือนเดิม เนื่องจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติโดยหลักแล้วให้ความสำคัญกับผลตอบแทนในการลงทุนมากกว่าการถือครองกรรมสิทธิ์ เป็นหลัก เช่นเดียวกับประเทศจีนที่มีกฎหมายห้ามถือครองกรรมสิทธิ์ท่ดินแต่เปิดให้มีการเช่าระยะยาวแทน ซึ่งต่างชาติก็เข้าไปลงทุนจำนวนมากเพราะผลตอบแทนสูง

**รร.-รีสอร์ทเมืองท่องเที่ยวกระทบหนัก**

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอเชียน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจต่างด้าว ที่รัฐบาลออกมาเพิ่มความเข้มงวดนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมนัก แต่จะกระทบในผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทในจังหวัดหรือหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ อาทิ ภูเก็ต สมุย ส่วนบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับผลกระทบประมาณ 1-2 รายเท่านั้น อีกทั้งเชื่อว่ารัฐบาลต้องการเข้างวดในบางธุรกิจเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ความเข้างวดดังกล่าวจะกระทบต่ออสังหาริมทรัพย์ในทางอ้อม เมื่อเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ จีดีพี ลดลง ถึงจะส่งผลกระทบ เนื่องจากความเชื่อมั่นและรายได้ของผู้บริโภคขึ้นอยู่กับตัวเลขจีดดีพี หากจีดีพีมีอัตราการเติบโตก็จะทำให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอย ซื้อบ้าน และในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีสถาบันใดออกมาคาดการณ์ตัวเลขจีดีพี เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา

“ยังไม่สามารถบอกได้ตอนนี้ว่าจะดีหรือแย่ แต่สิ่งที่กระทบน่าจะมาจากเหตุระเบิด และมีผู้เสียชีวิต ทำให้กระทบต่อจิตวิทยาของคนซื้อ อีกทั้งยอดขายในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของปีใหม่จะขายไม่ค่อยได้อยู่แล้ว เพราะคนไปเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในส่วนของบริษัทยังขายได้ปกติ หากมีเหตุการณ์เข้ามาอีกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ทุกอย่างน่าจะมีความชัดเจนขึ้น ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร” นายอนุพงษ์กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us