|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ดีเอชซี ขยายตลาด ปูพรมสู่สินค้าอาหารเสริม หลังปักธงตลาด เครื่องสำอางติดตลาดมาแล้ว ปีนี้ทุ่มงบตลาด 200 ล้านบาท รุกเต็มสูบทุกรูปแบบ ยันไม่เพิ่มช่องทางรีเทลแต่ใช้วิธีเพิ่มไลน์สินค้า คาดปีนี้รายได้ทะลุ 500 ล้านบาท
นางสาวอาภรณ์ ทรัพย์มนชัย หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท ดีเอชซี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องสำอางด้วยระบบเมล์ออร์เดอร์ เปิดเผยว่า บริษัท ดีเอชซี ได้ดำเนินธุรกิจในตลาดประเทศไทยเข้าสู่ปีที่ 3 แล้วในปี 2550 นี้ ซึ่งจะถือว่าเป็นปีของการขยายธุรกิจและการขยายตลาดของแบรนด์ดีเอชซีในประเทศไทยครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากที่ทำตลาดจนแบรนด์ติดตลาดแล้ว
โดยแผนการดำเนินหลักๆในปีนี้ บริษัทฯจะขยายตลาดสินค้าในกลุ่มอาหารเสริม อาหารสุขภาพ แบรนด์ดีเอชซี หลังจากที่ได้มีการจำหน่ายไปแล้วในตลาดประเทศญี่ปุ่นและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยในตลาดประเทศไทยจะเริ่มทำตลาดในไตรมาสแรนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน จากแผนการตลาดที่วางไว้ ขณะที่ตลาดอาหารเสริมในเมืองไทยนั้นก็มีอัตราการเติบโตที่ดีและเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร
ขณะเดียวกันในส่วนของตลาดเครื่องสำอางที่ทำอยู่เดิมนั้น ก็จะมีการเพิ่มสินค้าใหม่ๆเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโปรดักต์ไลน์ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค คาดว่าในเบื้องต้นจะมีสินค้าใหม่กว่า 50 เอสเคยู โดยเทรนด์ที่มาแรงที่สุดคือ เทรนด์ของกลุ่มสินค้าปกป้องริ้วรอย(Q 10) จากเดิมขณะนี้มีประมาณ 400 เอสเคยู และมีระดับราคาเครื่องสำอางที่ขายผ่ายเมล์ออร์เดอร์ตั้งแต่ 400 ถึง 3,000 บาท โดยสินค้าจับกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงวัยทำงา ยุ 25 ถึง 30 ปี และมีสินค้าของกลุ่มผู้ชายด้วยเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายนั้น บริษัทฯทำธุรกิจโดยเน้นหนักไปที่ช่องทางเมล์ออร์เดอร์ ผ่านโทรศัพท์เบอร์ 02-353-6333 ซึ่งมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 95% ส่วนอีกช่องทางมีเพียง 5% คือช่องทางรีเทล ที่วางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำบางแห่ง เช่น ยูเอฟเอ็มฟูจิ ที่มี 2 สาขาคือที่ สุขุมวิท 33/1 และสุขุมวิท 39 ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 27 สาขา อิเซตัน และล่าสุดคือในคิงเพาเวอร์ดิวตี้ฟรีที่สุวรรณภูมิและที่ถนนรางน้ำ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะไม่มีการขยายสาขาเพิ่ม แต่จะเป็นการนำสินค้าใหม่ๆเข้าไปวางจำหน่ายเพิ่มเติมมากกว่า
ทั้งนี้บริษัทฯมีทีมงานแมสเซนเจอร์ที่ไว้บริการส่งสินค้าตามสั่งประมาณ 20 คน ซึ่งปีนี้จะเพิ่มหรือไม่นั้นนขึ้อยู่กับการขยายตัวของธุรกิจเป็นหลัก โดยพื้นที่ที่ให้บริการในส่วนของกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น หากสั่งสินค้าลูกค้าจะได้รับภายใน 1 วัน ส่วนในต่างจังหวัดจะจัดส่งโดยอีเอ็มเอส ได้รับสินค้าในเวลา 3 - 5 วัน ซึ่งสัดส่วนตลาดขณะนี้ แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 50% ต่างจังหวัด 50% จากเดิมเมื่อต้นปีที่แล้ วสัดส่วนเป็นกรุงเทพฯ 70% และต่างจังหวัด 30%
นางสาวอาภรณ์กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯจะมีการทำตลาดที่เพิ่มมากขึ้นในทุกรูปแบบทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การโรดโชว์ การจัดกิจกรรม การทำโปรโมชั่น เป็นต้น เพื่อต้องการขยายฐานสมาชิกจาก 60,000 คนเมื่อสิ้นปีที่แล้ว เพิ่มอีก 20,000 คนในปีนี้ รวมเป็น 80,000 คนภายในสิ้นปีนี้
ด้วยแผนการรุกตลาดในปีนี้ รวมกับงบประมาณด้านการตลาดที่ตั้งไว้ประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะทำรายได้รวมประมาณ 500 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีรายได้รวม 450 ล้านบาท และใช้งบการตลาด 100 ล้านบาท ส่วนปีแรกที่ดำเนินธุรกิจมีรายได้ประมาณ 360 ล้านบาท และใช้งบตลาด 150 ล้านบาท
|
|
|
|
|