กนก วงษ์ตระหง่าน ซีอีโอคนใหม่แห่งค่ายสยามแฟมิลี่มาร์ท กำหนดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ
ต้องการพันธมิตรร่วมเป็นหุ้นส่วนในการขยายธุรกิจ ทั้งการขยายสาขา หาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ย้ำยังไม่มีความคิดขายหุ้นให้แก่ผู้สนใจ เพราะแฟมิลี่มาร์ทญี่ปุ่น
ยังต้องการขยายธุรกิจในประเทศไทยต่อไป
ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางของการขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ท
ภายหลังจากตัดสินใจเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหาร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม
2546 เป็นต้นไป ว่า ในช่วงแรกจะพิจารณาทบทวนนโยบายและแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยรวม
และจะกำหนดกรอบในการขยายธุรกิจใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันใน ปัจจุบัน
ซึ่งอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
สำหรับทิศทางและแนวทางในการดำเนินงานของบริษัทสยามแฟมิลี่มาร์ท ที่ได้พิจารณาในเบื้องต้น
และเตรียมจะนำมาสู่การปฏิบัตินั้น ประกอบด้วย การพยายามสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่า
สินค้าต่างๆที่ได้วางขายในแฟมิลี่มาร์ทนั้น เป็นสินค้าจำเป็นและเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า
โดยบริษัทจะลงทุนศึกษาวิจัยผู้บริโภค เพื่อให้ทราบถึงความต้องการที่แท้จริง ดังนั้นการวิจัยและพัฒนาจึงเป็นกระบวนการที่จำเป็นและต้องเร่งดำเนินการ
ทั้งนี้บริษัทจะให้ความสนใจในทุกประเภทสินค้า เพราะเชื่อว่าสินค้าแต่ละประเภทนั้นสามารถดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาที่ร้านได้อีก
นอกจากนี้บริษัทจะปรับปรุงรูปแบบร้านใหม่ให้สดใส และน่าเข้ามากกว่าเดิม โดยแฟมิลี่มาร์ทจะสร้างร้านให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจ
ไม่เฉพาะแค่การออกแบบและภาพรวมของร้านเท่านั้น แต่ยังรวม ถึงการวางแผนกิจกรรมการตลาด
เพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้ลูกค้าตลอดทั้งปี
ส่วนการปรับปรุงระบบการทำงานภายในองค์กรนั้น จะดำเนินการเพื่อให้ได้มาตรฐานเดียวกันสำนักงานใหญ่
ไม่ว่าจขะเป็นระบบสินค้าคงคลัง ระบบสารสนเทศ ระบบ P.O.S. ระบบการสั่งซื้อ ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงานที่มาตรฐาน
ถูกต้องรวดเร็ว เพื่อให้มีผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม
สำหรับเรื่องการขยายสาขานั้น ศ.ดร.กนก กล่าวว่า ในปัจจุบันยังไม่ได้กำหนดว่าจะขยาย
สาขาจำนวนเท่าใด เพราะต้องรอการศึกษา รายละเอียดและกรอบการดำเนินธุรกิจใหม่ให้เรียบร้อยเสียก่อน
สำหรับในช่วงนี้หากมีพื้นที่ ที่เหมาะสมก็ยังคงขยายสาขาตามแผนเดิมต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาการขยายสาขาอาจล่าช้าบ้าง
เนื่องจากปีที่ผ่านมาสยามแฟมิลี่มาร์ท ต้องเสียเวลากับ เรื่องการจัดการบริหารภายในองค์กรเป็นอย่างมาก
รวมทั้งการเจรจากับผู้สนใจ ส่งผลให้เป้าหมายจำนวนสาขาที่วางไว้ในปี 2545 ที่จะต้องมี
500 สาขานั้นไม่บรรลุเป้าหมาย และสามารถขยายสาขารวมได้เพียง 246 สาขาเท่านั้น โดยจำนวนนี้เป็น
สาขาของแฟรนไชส์ซี่ ประมาณ 25%
"การขยายสาขาเราจะเน้นที่คุณภาพเป็นหลัก เพราะต้องการเปิดร้านแล้วมีผลประกอบการที่ดี
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เน้นเชิงปริมาณเลย เพราะหากเรามีสาขาที่มีคุณภาพและสามารถขยายได้ในปริมาณที่มาก
ก็เป็นเรื่องดีกับการแข่งขันในเชิงธุรกิจ" ศ.ดร. กนก กล่าว
ทั้งนี้ ศ.ดร.กนก ยังได้กล่าวถึงการตัดสินใจเข้ามาร่วมงานกับ สยามแฟมิลี่มาร์ทว่า
เป็นเพราะจากการพูดคุยกับผู้บริหารของ แฟมิลี่มาร์ท ญ่ปุ่น ได้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการทำธุรกิจที่ทางฝ่ายญี่ปุ่นพร้อมที่จะให้การสนับสนุน
ทั้งด้านการเงิน และข้อมูลต่างๆ เพื่อจะขยายธูรกิจร้านแฟมิลี่มาร์ทในประเทศไทยต่อไป
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถ เพราะมีประสบการณ์ในการบริหารห้างสรรพสินค้ามานานถึง
5 ปีเต็ม และสามารถนำพาธุรกิจของโรบินสันให้ฝ่าวิกฤตมาได้ ส่วนธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์นั้น
ยังไม่เคยบริหาร แต่คิดว่าจะสามารถนำประสบการณ์ที่ได้มาบริหารเพื่อให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้าต่อไปได้
ทางด้านนายโยชิซูกุ คาตาฮิระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแฟมิลี่มาร์ท จำกัด
กล่าวว่า บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นมีความตั้งใจจริงที่จะทำธุรกิจในประเทศไทยต่อไป เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตอีกครั้ง
นอกจากนี้หากเปรียบเทียบการขยายธุรกิจในประเทศอื่นๆพบว่า ไทยยังมีจำนวนสาขาที่น้อยมาก
คือ มีเพียง 246 สาขาเท่านั้น ในขณะที่ญี่ปุ่นมีถึง 5,956 สาขา ไต้หวัน 1,303 สาขา
เกาหลี 1,430 สาขา และแฟมิลี่มาร์ทญี่ปุ่นเตริยมจะขยายธุรกิจเข้าไปยังประเทศจีนอีก
ส่วนกระแสข่าวต่างๆ ที่ปรากฏในช่วงที่ ผ่านมานั้น ได้สร้างความสับสนพอสมควรโดยเฉพาะเรื่องที่แฟมิลี่มาร์ทมีปัญหาเรื่องการเงิน
จนต้องเจรจาหาผู้ร่วมทุนนั้น หรือกรณีที่มีนักลงทุนบางรายสนใจจะซื้อกิจการของแฟมิลี่มาร์ท
ล้วน แต่ไม่เป็นความจริง แต่ที่ไม่ได้ออกมาให้ข่าวในช่วงที่ผ่านมาเพราะบริษัทอยู่ระหว่างการเชิญ
ศ.ดร.กนก ให้เข้ามาร่วมงาน ซึ่งการเข้ามาของศ.ดร.กนก ในครั้งนี้น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีในการ
ทำธุรกิจในประเทศไทยต่อไป
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. กนก กล่าวถึงเรื่องการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทำธุรกิจว่าอาจมีหลายรูปแบบ
ทั้งการเป็นพันธมิตรในการขยายสาขา ซึ่งบริษัทต้องการขยายสามารถในรูปแบบของแฟรนไชซี่
มากกว่า เพราะช่วงปีที่ผ่านมาจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นนับร้อยนั้นมาจากการลงทุนของบริษัทเอง
นอกจากนี้บริษัทก็ยังสนใจพันธมิตรในรูปแบบอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มซัปพลายเออร์
ที่จะจัดหาสินค้าที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค หรือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกันตลอดทั้งปี
โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ การมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้แก่สยามแฟมิลี่มาร์ทและพันธมิตร
ทั้งนี้บริษัทก็ไม่ปิดกั้นสำหรับพันธมิตรที่ต้องการเข้ามาร่วมถือหุ้น แต่ในขณะนี้จะให้ความสำคัญกับพันธมิตรในรูปแบบของการทำธุรกิจร่วมกันมากกว่า
ชี้"กนก"ฟื้นแฟมิลี่มาร์ทคู่ชกเซเว่นฯ
นายชลิต ลิมปนะเวช อาจารย์หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ว่า หลังจากที่ ศ.ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน ตัดสินใจลาออกจากการเป็นประธานบริหารสายปฏิบัติการและกรรมการผู้จัดการใหญ่
ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นระดับผู้บริหารแฟมิลี่มาร์ท
เชื่อว่าการเข้ามาบริหารงานของศ.ดร.กนก ภายใน 3 ปีต่อจากนี้แฟมิลี่มาร์ทจะเป็นคู่ชก
สำคัญของ เซเว่น อีเลฟเว่น คอนวีเนี่ยนสโตร์ที่มีสาขา 2,020 สาขา ส่วนบริษัทรวมค้าปลีกเข้มแข็ง
จำกัด หรือ เออาร์ที เพิ่งเริ่มก่อตั้ง อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงาน
เนื่องจากในเซกเมนต์นี้จะแข่งขันรุนแรง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบันร้านค้า สะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็น เซเว่น อีเลฟเว่น
แฟมิลี่มาร์ท วี-ชอป จะใช้กลยุทธ์ด้านความสะดวก มีสินค้า ที่หลากหลายดึงดูดผู้บริโภค
แต่คาดว่าภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ กลยุทธ์ของร้านค้าสะดวกซื้อจะหันเน้นรูปแบบใหม่และเปลี่ยนรูปแบบในการให้บริการ
ด้วยการนำเสนอบริการในรูปแบบต่างๆมากขึ้น โดยอาจจะตั้งศูนย์ Call Center เพื่อรับให้บริการโดยเฉพาะ