|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โบรกเกอร์ แนะระยะสั้นเลี่ยงลงทุนหุ้นกลุ่มเหล็ก เหตุอิงกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ยังแบกความเสี่ยง บวกกับตลาดหุ้นไทยผันผวน ขณะที่ระยะยาวให้เลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดี คาดอุตสาหกรรมกลุ่มเหล็กปีนี้ทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ด้านราคาเหล็กโลกปีนี้จะเติบโต 10%
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) ประเมินฐานะการดำเนินงานของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2550 ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานกลุ่มเหล็กน่าจะทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่บริษัทผู้ประกอบการอาจจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการแข็งค่าของเงินบาท ขณะที่ราคาเหล็กในตลาดโลกคาดว่าจะขยับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10%
โดยเฉพาะราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนจะอยู่ที่ระดับ 505 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และราคาเศษเหล็กและวัตถุดิบที่ใช้ในการทำเหล็กแผ่นรีดร้อนอยู่ที่ 430 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดว่าราคาเหล็กจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกัน ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ส่วนการเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กนั้น จะมีนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นๆ ตามภาวะตลาดหุ้นโดยรวม โดยกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยง เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนสูง ส่วนระยะกลางและระยะยาวแนะนำให้เข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 600 จุด
"ระยะยาวแล้วคาดว่าราคาหุ้นกลุ่มเหล็กยังคงผันผวน เนื่องจากโครงการก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ จากทางภาครัฐยังไม่มีความชัดเจน รวมทั้งราคาน้ำมันดิบตลาดโลกและค่าเงินบาทยังมีความผันผวนสูง ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มผู้ประกอบการ"
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล็ก ด้วยการทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี อาทิ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เนื่องจากธรุกิจก่อสร้างในอนาคตมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินราคาเหมาสมที่ 1.20 บาท บริษัท ศูนย์บริการเหล็กสยาม จำกัด (มหาชน) หรือ SSSC ที่มีค่า P/E Ratio ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน ประเมินราคาเหมาะสมที่ 7 บาท
บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS มีพื้นฐานที่ดี โดยประเมินราคาเหมาะสมที่ 5 บาท บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ประเมินราคาเหมาะสมที่ 1.20 บาท และบริษัท นครไทยสตริปมิล จำกัด (มหาชน) หรือ NSM ประเมินราคาเหมาะสมที่ 0.45 บาท
นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศ ไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มราคาหุ้นกลุ่มเหล็กยังคงผันผวนตามภาวะตลาดหุ้นและเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่แนวโน้มธุรกิจของอุตสาหกรรมเหล็กคาดว่าจะเติบโตตามราคาเหล็กโลก ซึ่งปัจจุบันราคาเหล็กตลาดโลกยังคงทรงตัว ตามราคาทองแดง ดีบุก และสังกะสี
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเหล็กเมื่อราคาปรับตัวลดลง เช่น TSTH ประเมินราคาเหมาะสมที่ 1.30 บาท บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี หรือ SSI ประเมินราคาเหมาะสมที่ 1.30 บาท และบมจ.จี สตีลGSTEEL ประเมินราคาเหมาะสมที่ 1.40 บาท
"ขณะนี้หุ้นกลุ่มเหล็กยังถือว่ามีความเสี่ยง จากภาวะตลาดหุ้นและราคาเหล็กโลกที่ยังมีความผันผวนสูง ดังนั้นแนะนำให้ระมัดระวังก่อนที่จะเข้ามาลงทุน"
ด้านความเคลื่อนไหวหุ้นหลักๆ ในกลุ่มเหล็กวานนี้ (8 ม.ค.) GSTEELราคาปิด 0.87 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 72.26 ล้านบาท MCS ราคาปิด 3.58 บาท ลดลง 0.04 บาท หรือ 1.10% มูลค่าการซื้อขาย 6.45 ล้านบาท NSM ราคาปิด 0.32 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 30.46 ล้านบาท SSSC ราคาปิด 32.75 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.50% มูลค่าการซื้อขาย 5.54 ล้านบาท และ TSTH ราคาปิด 0.99 บาท ลดลง 0.06 บาท หรือ 5.17% มูลค่าการซื้อขาย 7.65 ล้านบาท
|
|
|
|
|